คนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่องใน รถยนต์ 80 กก. หน้าแฟลต สภ.บันนังสตา จ.ยะลา แรงระเบิดคร่าชีวิตครูสอนตาดีกา และ ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บหลายคน ได้สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนในพื้นที่อย่างมากทว่าการวางระเบิดแบบนี้ “คนร้ายเลือกเจาะจงยังแฟลตตำรวจเป็นครั้งที่ 2” นับแต่การลอบวางระเบิดในแฟลต สภ.เมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2565 คราวนั้นตำรวจเสียชีวิต 1 นาย และมีผู้บาดเจ็บอีก 30 คน เรื่องนี้กำลังส่งสัญญาณอะไรนั้น พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ บอกว่า เหตุวางระเบิดแฟลตตำรวจครั้งนี้ “ผู้ก่อความไม่สงบ” กำลังใช้ช่วงสุญญากาศเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเก่าสู่รัฐบาลใหม่ “อันเป็นจุดอ่อนแอในการป้องกัน และความไม่พร้อมแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จชต.” ทำให้คนร้ายก่อเหตุช่วงชิงแสดงความแข็งแรงเชิงสัญลักษณ์ส่งสัญญาณกดดันรัฐบาลให้เร่งรัดคลี่คลายความขัดแย้งในพื้นที่นี้ส่วนหนึ่งมาจากในช่วง “รัฐบาลรับตำแหน่งใหม่” เคยประกาศนโยบายยกระดับการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ “แต่ผ่านมาเกือบปี กลับไร้วี่แวว” ส่งผลให้กลุ่มเห็นต่างคุมสภาพการก่อความไม่สงบในพื้นที่ไม่พอใจจึงสร้างสถานการณ์รายวันถี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เร่งตั้งไข่ส่งผู้แทนมาพูดคุยเพื่อสันติสุขข้อสังเกตได้จาก “รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเกือบปี” แต่กลับไม่มีผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงโดย “นายกฯ ยังคงคุมดูแลด้วยตัวเอง” แต่ด้วยท่านมีภารกิจรับผิดชอบหลายด้านส่งผลให้งานด้านความมั่นคง “ไม่เป็นเอกภาพต่อการแก้ปัญหาได้ชัดเจน” ทั้งที่จริงแล้วเรื่องนี้สามารถตั้งรองนายกฯขึ้นมานั่งดูแลแทนก็ได้ด้วยเหตุเพราะความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต. “มีความซับซ้อนเชื่อมโยงหลายมิติ” การแก้ปัญหาจึงไม่สามารถเป็นเรื่องของการเมืองล้วนๆ “แต่เกี่ยวเนื่องการเมืองผสมผสานทางการทหาร” กล่าวคือการทหารต้องแข็งแล้วในด้านการเมืองก็ควรเข้มข้นกับการพูดคุย เพื่อให้เกิดความร่วมมือในทุกระดับโดยเฉพาะพี่น้องประชาชน หนำซ้ำยังเป็น “รัฐบาลพลเรือน” จึงไม่มีความชำนาญความพร้อมในการบริหารจัดการงานด้านความมั่นคงสำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบ “จนเป็นช่องว่างให้กลุ่มเห็นต่างก่อเหตุได้ง่าย” เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าพวกเขามีความเข้มแข็งยังปฏิบัติการเคลื่อนไหวในพื้นที่ให้ชาวบ้านยืนหยัดเข้ามาร่วมอยู่ตลอดดังนั้นการวางระเบิดแฟลตตำรวจบ่งชี้ให้เห็นเลยว่า “การเมืองอ่อนแอ” โดยเฉพาะด้านการข่าวที่ควรได้รับจากประชาชนกลับไม่ได้รับความร่วมมือแจ้งเบาะแสสำคัญล่วงหน้า “แถมคนร้ายท้าทายระบบ” ในการก่อเหตุไล่หลังผู้บัญชาการทหารบกลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 33 อ.บันนังสตา ด้วยซ้ำเช่นนี้แล้ว “การวางระเบิดแฟลตตำรวจเป็นเป้าที่แข็งแรง” ด้วยมีสถานะเป็นหน่วยราชการเสมือนเป็นการโจมตี “เจ้าหน้าที่รัฐ” แถมยังปรากฏพบ ผช.ช่างโยธาอันเป็นพนันงานของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องอีก เพราะตามการตรวจสอบประวัติพบภรรยาเชื่อมโยงคนร้ายมีหมายจับ ป.วิอาญาสะท้อนให้เห็นการทหารก็อ่อนแอเหมือนกันทำให้แนวร่วมก่อความไม่สงบ “สามารถเจาะระบบราชการ” แล้วส่งฝ่ายปฏิบัติการเข้ามาแทรกซึมแฝงตัวในโครงสร้างหน่วยงานรัฐได้ “โดยไม่มีใครสงสัยตรวจสอบ” สถานการณ์นี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมาก ชนวนเหตุต่อมา “คดีตากใบใกล้หมดอายุความ” ด้วยเหตุการณ์ตากใบ และเหตุการณ์กรือเซะนั้นเป็นความรุนแรง “ลบล้างออกจากความรู้สึกคนในพื้นที่ได้ยาก” ทำให้ฝ่ายเห็นต่างมักแสดงให้ประชาชนเห็นว่า “รัฐไม่เคยให้ความเป็นธรรม” จนถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมทางความเห็นมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ฝ่ายรัฐกลับไม่ดำเนินการใดๆ “แถมจะปล่อยให้คดีหมดอายุความ” จนภาคประชาชนต้องออกมายื่นฟ้องคดีอาญาเอง เรื่องนี้ถ้าไม่มีความกระจ่างเอื้อต่อประชาชนก็จะเป็นเงื่อนไขถูกอ้างปลุกกระแสเรื่อยไปเมื่อเป็นเช่นนี้ “รัฐต้องแสดงความจริงใจ” ไม่ควรปล่อยให้ประชาชนดิ้นรนหาความยุติธรรมกันเองด้วยการรับลูกช่วยดำเนินการไม่ให้คดีหมดอายุความ เพื่อแสดงออกให้เห็นว่ารัฐพยายามแก้ปัญหาจริงๆ อย่ามองเพียงว่ามอบเงินเยียวยาแล้ว “ปัญหาก็จบลง” สิ่งนี้อาจไม่พอเพราะประชาชนยังต้องการเห็นคนทำผิดถูกลงโทษตอกย้ำด้วย “โครงสร้างงานด้านความมั่นคง” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จชต.มาร่วมเป็น 10 ปี “แต่ไม่ก่อเกิดการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ” เพราะฝ่ายรับผิดชอบมักมุ่งแก้ปัญหาด้วยกลไกการพูดคุยเพื่อสันติสุขอย่างเดียว กลับมองข้ามการสร้างบรรยากาศในพื้นที่ให้เอื้อต่อการพูดคุยแก่ทุกฝ่ายทุกระดับเพราะการสร้างสันติสุขจะสำเร็จได้นั้น “ควรมีเสรีภาพในการพูดคุยแสดงออกก่อน” แต่ปัจจุบันสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จตช. “ประกาศใช้กฎหมายพิเศษเต็มไปหมด” ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลายเป็นบรรยากาศไม่เอื้อต่อการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แท้จริงปัญหาว่า “กอ.รมน.เป็นเจ้าภาพหลัก” อันมีฝ่ายทหารคอยเป็นพี่เลี้ยงในการควบคุมดูแลสถานการณ์กลับไม่พัฒนาการส่งต่อให้ “ฝ่ายพลเรือนเป็นเจ้าภาพ” เพื่อจะได้นำไปสู่บรรยากาศเอื้อในการพูดคุยให้มีความแข็งแรง ทำให้ตอนนี้ทหารยังคงเป็นหน่วยงานปฏิบัติหลักในการกำกับดูแลควบคุมพื้นที่ใน 3 จชต.อันจะเห็นได้ว่า “จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส เต็มไปด้วยด่านตรวจ” ที่เป็นบรรยากาศตึงเครียดไม่เหมาะกับการพูดคุยเพื่อสันติสุข ดังนั้นตามที่คาดว่าความไม่สงบจะจบลงในปี 2570 อาจล่าช้าออกไปอีกส่วนแนวร่วมที่เคลื่อนไหวหลักๆคือ “บีอาร์เอ็น” เพราะพิสูจน์ทราบชัดว่ามีกองกำลังปฏิบัติการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต.นอกจากนั้น “กลุ่มอื่นๆ” คงเหลือเฉพาะผู้นำทางการเมืองไม่มีกองกำลังปฏิบัติการ ดังนั้นการพูดคุยสันติสุขคงเน้นกับฝ่ายนำทางการเมืองบีอาร์เอ็น เพื่อนำบทเจรจาตกผลึกส่งต่อให้หน่วยปฏิบัติการ จริงๆแล้วปัจจุบัน “กลไกการพูดคุยเพื่อสันติสุข” อันเป็นเครื่องมือสำคัญตามนโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จชต. “แบบสันติวิธีมีความคืบหน้าไปช้ามาก” นับแต่มีแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องเร่งขับเคลื่อนให้เร็วเพื่อให้มีแผนปฏิบัติการชัดเจนเสนอต่อ “ผอ.อำนวยความสะดวกการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเทศมาเลเซีย” ในการประสานกับฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นเข้าสู่ในกระบวนการพูดคุยตามหลักเจรจาสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันจะทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นใจในสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ทว่าสำหรับ “JCPP” ก็เป็นเวทีสาธารณะในการแสดงออกอย่างเสรีภาพของประชาชนตั้งแต่ระดับพื้นที่ในรูปแบบฟอรัม การสัมมนา อภิปราย เวิร์กช็อป การเสวนา การสนทนากลุ่ม อันเป็นกลไกรับฟังปัญหาข้อเท็จจริงนำเข้าสู่การพูดคุยกับ “แกนนำบีอาร์เอ็น” หากมีข้อเรียกร้องเรื่องใดก็จะมีข้อมูลมาเทียบเคียงได้มิให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นยกข้ออ้างสำหรับ “เรียกร้องฝ่ายเดียว” เพื่อจะได้นำไป สู่เส้นทางการลดความขัดแย้งด้วยการแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างสันติ “ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย” เพียงแต่กระบวนการเหล่านี้ค่อนข้างล่าช้าไป ทำให้ฝ่ายเห็นต่างช่วงชิงมวลชนปลุกระดมออกมาต่อต้านฝ่ายรัฐกันอย่างต่อเนื่องสาเหตุความล่าช้ามาจาก “ขั้นตอนการสรรหาเลขาธิการ สมช.” เพราะเรื่องนี้กว่าจะได้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ มาเป็นเลขาธิการฯก็ใช้เวลานานแถมอีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณราชการ ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวคนใหม่ สิ่งนี้ชี้ให้เห็น “ความไม่ต่อเนื่องการทำงาน” แต่ยังดีกลไกการพูดคุยเพื่อสันติสุขตั้งท่านฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช. มาเป็น หน.คณะที่มีประสบการณ์ใน 3 จชต.และเคยอยู่คณะเจรจามาแล้วหลายคณะ เพียงแต่รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณ และองคาพยพเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้ปีนี้ขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุขไปได้นี่เป็นแนวทางลดความรุนแรง และยุติความเป็นปรปักษ์ในพื้นที่ 3 จชต. “รัฐบาล” ควรเร่งรัดพัฒนาการมีส่วนร่วมให้เกิดความไว้ใจต่อกัน เพราะข่าวกรองประสิทธิภาพสูงล้วนมาจากประชาชนทั้งสิ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม