ปัญหาการเลี้ยงดูเด็กที่ไม่เหมาะสม “ด้วยการใช้ความรุนแรงในครอบครัว” ถูกซึมซับเป็นประสบการณ์ให้ลูกน้อย “กลายเป็นระเบิดเวลา” กำลังปะทุออกมาเห็นในรูปแบบลูกแท้ๆทอดทิ้ง–ทำร้ายพ่อแม่สูงวัยจนได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออก หรือบางรายเสียชีวิต ที่ปรากฏผ่านสื่อไม่เว้นแต่ละวันสร้างความรู้สึกสะเทือนใจต่อ “สังคมไทยไม่น้อย” แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีรายละเอียดต้นเหตุของการประพฤติไม่เหมาะที่ซับซ้อนไม่อาจมองข้ามไปได้ นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ให้ข้อมูลว่า ช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์ลูกแท้ๆ ทำร้ายบุพการีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งอันเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจถูกพูดถึงในสังคมอย่างกว้างขว้างจน “สถาบันครอบครัวฯ” พยายามหาคำตอบว่าทำไมลูกถึงฆ่าผู้ให้กำเนิดได้...? เพราะถ้าทำความเข้าใจเชิงลึกได้ย่อมเป็นแนวทางป้องกันเหตุร้ายตรงจุดนี้ ทำให้ถอดบทเรียนออกมาเป็นงานวิจัยการพัฒนาเด็กและครอบครัว อันมีสาเหตุตัวแปรสำคัญแบ่งเป็นหลายปัจจัยปัจจัยแรก...“การพัฒนาสมองเด็กช่วงวัยแรก” ด้วยการเรียนรู้ และการดูแลเด็กในช่วง 8 ปีแรกของชีวิตค่อนข้างมีความสำคัญตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 270 วัน และอีก 2,920 วัน มักเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนามีความเกี่ยวเนื่องกับสถาบันครอบครัว “ทุกคนเกิดมาต้องมีพ่อแม่ดูแลเอาใจใส่” อันเป็นความสัมพันธ์พื้นฐานของมนุษย์ เพื่อสร้างความรู้สึกผูกพันต่อกัน “กระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ และจิตใจ” ในช่วงวัยที่โครงสร้างสมองมีการพัฒนาสูงสุด ทั้งการสร้างเซลล์สมอง การเชื่อมโยงระหว่างเซลล์สมองเกิดเป็นโครงข่ายเส้นใยประสาทนับล้านโครงข่ายเป็นผลให้เพิ่มประสิทธิภาพต่อเด็กมีความสามารถพัฒนาการเรียนรู้ จดจำ ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีดังนั้นช่วงวัย 3,000 วันแรกนี้มีความสำคัญต่อการเรียนรู้การใช้ชีวิตพื้นฐานเพราะสมองเด็กวัยนี้โอบรับซึมซับประสบการณ์หล่อหลอมพฤติกรรมที่ติดตัวไปก่อนก้าวสู่การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเมื่อเติบโตในอนาคตแล้วด้วยเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา “การเลี้ยงดูเด็กสมัยนั้นขาดมาตรฐาน” ตั้งแต่ระดับในครอบครัว ชุมชน และโรงเรียน “บางคนถูกหล่อหลอมเติบโตขึ้นมาอย่างไม่เหมาะสม” กลายเป็นระเบิดเวลาในปัจจุบันที่พร้อมจะปลดปล่อยความรู้สึกไม่สบายใจ ความต้องการแก้แค้น ความก้าวร้าว หรือการไม่ได้รับความยุติธรรมนำมาซึ่งปรากฏภาพ “การใช้ความรุนแรงในสังคมก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายบิดามารดา ฆ่าบุพการี หรือเหตุการณ์กราดยิงผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่สาธารณะนับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้นย้ำด้วยปัจจัย “ครอบครัว” ปัจจุบันมีการค้นหากลุ่มเด็กในพื้นที่ชุมชนแออัดอยู่ในครอบครัวที่มีภาวะบกพร่อง พบว่า เด็กอีกมากตกอยู่ในภาวะยากจน ครอบครัวแตกแยก และได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมเรียกว่า “เด็กมีประสบการณ์ชีวิตไม่พึงประสงค์ หรืออยู่ในภาวะปริแยกแตกร้าว” ในเด็กปฐมวัย หรือช่วง 8 ปีแรกของชีวิต ส่วนใหญ่ต้องเผชิญอยู่ในครอบครัวที่มีภาวะบกพร่อง 5 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีภาวะแตกแยก ตีกัน ติดคุก ติดยา สภาพจิตไม่ปกติ และนำมาสู่การเลี้ยงดูไม่เหมาะสม 5 ด้าน ทั้งละเลยทางกาย ละเลยทางอารมณ์ ทำร้ายทางกาย ทำร้ายทางอารมณ์ ทำร้ายทางเพศ ส่งผลต่อการเรียนรู้ พฤติกรรมของเด็กไปตลอดชีวิตแล้วเด็กที่ต้องเติบโตภายใน “ครอบครัวที่มีภาวะบกพร่อง และได้รับการเลี้ยงดูไม่เหมาะสมนี้” เมื่อมีการศึกษาต่อเกี่ยวกับ “การพัฒนาการด้านสมอง” ด้วยการตรวจน้ำลายปรากฏพบว่า เด็กมีความเครียดรื้อรังในระดับสูง ส่งผลให้มีพัฒนาการล่าช้าเมื่อเข้าสู่วัยเรียนมักจะมีแนวโน้มไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียนถ้าหากเข้าสู่วัยรุ่นก็มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคมมักชอบใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว หากเข้าสู่วัยกลางคนจะพบความล้มเหลวทั้งการประกอบอาชีพและครอบครัว แล้วจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเนื่องจากระดับฮอร์โมน “ความเครียดสูงตั้งแต่วัยเด็ก” เข้าไปเปลี่ยนแปลงระบบประสาทอัตโนมัติระยะยาว เรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้ “ทั้งครอบครัวมีฐานะร่ำรวย และยากจน” ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กที่มีฐานะยากจน ทำให้มิได้หล่อหลอมความสัมพันธ์พื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในด้านความรักความอบอุ่นตั้งแต่วัยเด็กกระทั่งเด็กยุคนี้ “บางคนขาดความผูกพันต่อคนในครอบครัว” ที่สอดรับกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่มีแต่การแข่งขันด้านทุนนิยมส่งผลให้พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก “เด็กต้องหันไปอยู่กับโซเชียลมีเดีย” ทำให้บางสื่อหล่อหลอมพฤติกรรมเด็กใช้ความรุนแรง สิ่งนี้ก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาถูกฝังไว้ในตัวเด็กยุคใหม่เหมือนกันเช่นนี้หากไม่มีการแทรกแซงแยกเด็กออกจากครอบครัวเลี้ยงดูไม่เหมาะสม เพื่อนำมาแก้ไขก็ย่อมนำไปสู่การใช้ความรุนแรงก่อความไม่สงบสุขต่อบ้านเมืองในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า แล้วยิ่งบางคนขาดศีลธรรมแถมควบคุมความต้องการแห่งความสุขของตัวเองไม่ได้ก็มีโอกาสก่อเหตุทำร้ายผู้อื่น หรือทำร้ายบุพการีด้วยตอกย้ำด้วย “ปัจจัยทางสังคมไทยเปลี่ยนโครงสร้างประชากร” ด้วยประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น “อัตราการเสียชีวิตต่ำจนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น” ขณะที่แนวโน้มการเกิดของประชากรลดลงกลายเป็นปรากฏการณ์ช่องว่างระหว่างวัยของแต่ละรุ่นห่างไกลกันเยอะขึ้น ปัญหาว่าเด็กเกิดใหม่ในอนาคต “จะขาดการเรียนรู้ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุข้ามวัย” เพราะการพัฒนาสมองส่วนหน้าไม่มีประสบการณ์ “ความผูกพันระหว่างรุ่นหลานกับรุ่นทวด” แล้วยิ่งเป็นครอบครัวถูกหล่อหลอมมาแบบไม่พึงประสงค์มีแนวโน้มเติบโตเป็นปัญหาต่อสังคมย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตการเป็นอยู่ของผู้สูงอายุเพราะธรรมชาติมนุษย์มีระยะผูกพันคนในครอบครัวเพียงลูกกับพ่อแม่ที่ได้เลี้ยงดูเอาใจใส่กันมา แต่ถ้าเป็นความผูกพันข้ามรุ่นหลานไปสู่รุ่นทวดต้องอาศัยการพัฒนาสมองส่วนหน้าสร้างให้เกิดความผูกพันใหม่เติบโตขึ้นต่อมาคือ “ปัจจัยแรงจูงใจทางการเงิน” เรื่องนี้เกิดจากความต้องการเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้ลูกสามารถทำร้ายพ่อแม่เพื่อหวังเอาสมบัติ “อันเป็นกรอบความสุข” ที่ไม่มีฐานแห่งการสร้างสังคมในการดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดการไล่ล่าหาความสุขตอบสนองความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจผลกระทบต่อบุคคลอื่นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสังคมทุนนิยม “แข่งขันฐานะความร่ำรวย” เพื่อให้เป็นที่ยกย่องนับถือทางสังคมอันมีผลลัพธ์จากการมองความสุขตัวเงินสำคัญกว่า “พ่อแม่” ทำให้ยอมทำทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัตินั้น ดังนั้นในช่วง 3,000 วันแรกของชีวิต “ตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 8 ขวบ” เป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาการเรียนรู้ความคิดสร้างสรรค์ การคิดตัดสินใจ และการหล่อหลอมสุขภาพกายสุขภาพใจให้เกิดความสุขอย่างพอเพียงแน่นอนว่า “ถ้าเด็กเติบโตมาท่ามกลางในครอบครัวใช้ความรุนแรง” ผลลัพธ์ย่อมกลายเป็นวงจรความรุนแรงต่อเนื่องในรุ่นต่อไป ดังนั้นพ่อแม่ยุคนี้ควรเลือกใช้วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม มีความยืดหยุ่น และค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหยุดยั้งการสร้างระเบิดเวลาลูกใหม่ขึ้นมาที่อาจเป็นปัญหาสังคมในอนาคตได้สุดท้ายฝากไว้ว่า “การส่งเสริมมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติยังไม่จำเป็นเร่งด่วน” เพราะเด็กที่มีอยู่คุณภาพชีวิตค่อนข้างต่ำเป็นระเบิดเวลาพร้อมปะทุได้ตลอด ดังนั้นตอนนี้ควรมาช่วยกันทำให้เด็กเกิดใหม่นี้ที่มีไม่มากให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการส่งเสริมสวัสดิการ และการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูบุตรครอบคลุมทั่วถึงเสียก่อนแล้วเชื่อว่าถ้าหาก “พ่อแม่” รู้สึกสบายใจค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูบุตรได้ก็จะตัดสินใจมีลูกกันเองมิเช่นนั้นอาจกลายเป็นปัญหาก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญในสังคมอันมีต้นเหตุเพียงแค่ต้องการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ “เพื่อสร้างสมดุลให้ผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้น” ทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีคุณภาพจนไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้ สุดท้ายยิ่งปล่อยให้มีการเกิดใหม่มากเท่าใดก็อาจกลายเป็นผู้ทำลายผู้สูงอายุมากเท่านั้นฉะนั้นในช่วง 8 ปีแรกมีความสำคัญจะทำให้เด็กเกิดความสมบูรณ์ทั้งกาย และใจในระยะยาว “พ่อแม่” ควรวางแผนการมีลูกเมื่อพร้อม “ภาครัฐ” ก็ควรส่งเสริมลงทุนพัฒนาความสมดุลทรัพยากรมนุษย์ผ่านกลไกต่างๆ ให้เกิดประสิทธิผลมากกว่าปล่อยให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยมาแก้ไขกันภายหลัง...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม