พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์ (สมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์) ป.อ.ปยุตโต อธิบายคำว่า “บารมี” คือคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่งบารมีที่พระโพธิสัตย์ต้องบำเพ็ญให้ครบบริบูรณ์ จึงบรรลุโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้ามี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ เมตตา และอุเบกขามหาชาติ หรือชาติใหญ่ ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเป็นบารมีสุดท้าย ชาวพุทธไทยคุ้นเคย คือทานบารมี คือชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพระเวสสันดรแต่อีกหลายชาติ..ที่เด็กวัดเก่ารุ่นผม ยังหลงๆลืมๆ จำไม่ได้ชาติไหนวันนี้อยากรู้ขึ้นมา ชาติที่ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี หาหนังสือใกล้มืออ่านไม่เจอ จึงต้องพึ่งอากู๋บัดดล ทันใจ ก็ได้ความ...ชาตินี้ทรงเป็น พระนารทมหาพรหม เอ้อ! นึกภาพได้บ้างรางๆ จากภาพเขียนของ ส.ธรรมภักดีที่มีติดตามศาลาวัด ช่วง พ.ศ.2500 ทรงหาบสาแหรกใส่ของมีค่า เหาะลิ่วๆลอยอยู่บนฟ้า นั่นปะไรเข้าเนื้อเรื่องดีกว่า..กาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าอังคติราช กษัตริย์นครมิถิลา มีปกติอยู่ในทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองด้วยดี ทรงมีพระธิดา พระนามรุจานอกจากทรงพระสิริโฉมโสภา ระลึกชาติก่อนๆได้ 7 ชาติ และรู้ว่าชาติหน้าจะเกิดต่อไปเป็นอะไรได้อีก 7 ชาติคืนหนึ่งเดือนหงาย พระราชาถามอำมาตย์ ควรจะทำอะไรดี อำมาตย์คนหนึ่งแนะให้ฟังธรรม ทูลให้ไปหา คุณาชีวก นักบวชชีเปลือย “พวกเดียวกับที่หลอกเอาไม้เท้าวิเศษ กับม้ามังกร จากสุดสาคร นั่นล่ะ!”คุณาชีวกสอนว่า สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี..บาปไม่มี บุญไม่มี..มนุษย์เกิดๆตายๆไป 8 กัปป์ ก็จะพ้นทุกข์ไปเองระหว่างนั้น มีชายยากจน ทูลพระราชาว่า เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นเศรษฐี ทำบุญสุนทานไว้มากมาย แต่ชาตินี้กลับมาเกิดเป็นคนยากจน แสดงว่าบุญไม่ให้ผลจริง อังคติราช โน้มเอียงไปเชื่อเรื่องนี้กลับนครก็สั่งยกเลิกโรงทานสี่มุมเมือง เสวยสุขสำราญไปวันๆ พระธิดารู้ข่าวก็มาขอเงินหนึ่งพันไปทำทาน พระราชาบอกพระธิดาทำทานไปก็ไร้ประโยชน์พระธิดาทูลว่า ชายยากจนที่ทูลว่าระลึกชาติก่อนเป็นเศรษฐีได้ ความจริงชาติก่อนหน้า เขาเกิดเป็นคนเลี้ยงวัว ที่ด่าทอพระ ผลบาปชาตินั้นตามมาก่อนผลบุญตัวพระธิดาเองนั้น รู้ว่าผลบาป เหมือนสินค้าถ้าบรรทุกใส่เรือไว้มากๆ ถึงจุดหนึ่ง เรือก็จมอังคติราชไม่เชื่อพระธิดา ร้อนถึง นารทมหาพรหม จากพรหมโลก เนรมิตตนเป็นฤาษีหาบสาแหรก ทองข้างหนึ่ง คนโทแก้วข้างหนึ่ง ลอยมาบนอากาศ สอนพระราชา ให้เชื่อบุญเชื่อบาป ย้ำว่าสัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรมทั้งพรรณนาถึงนรกที่คนบาปจะต้องไปตกหมกไหม้ พระราชาทรงกลัวนรก กลับพระทัยมาเป็นสัมมาทิฐิ ตั้งอยู่ในศีลในธรรมตามเดิมชาดกเรื่องนี้มีธรรมเนียม “ประชุมชาดก” คือสรุปว่า พระนารทมหาพรหม องค์นั้น คือพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ มาบำเพ็ญอุเบกขาบารมี..ที่เน้นการวางใจให้เป็นกลาง เลือกคบคนดีไม่คบคนเลวตามลำดับองค์บารมี อุเบกขาบารมี เป็นบารมีที่สุดท้าย แต่ตามลำดับที่พระโพธิสัตว์อุบัติเสวยพระชาติเป็นพระนารทมหาพรหม เป็นพระชาติที่ 8 ครับอุเบกขาบารมี..ที่พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ ก่อนมาเป็นพระ พุทธเจ้า..ก็มีอยู่ใน ทศพิธราชธรรม..ธรรมะสิบข้อของพระราชา หรือจะว่าไป ก็คือ คุณสมบัติหนึ่งของคนเป็นผู้นำใครที่เคยเป็นผู้นำ คิดจะเป็นผู้นำ หรือกำลังเป็นผู้นำ รู้กันดี “อุเบกขา” นั้นสำคัญ พลาดพลั้งไม่ตั้งมั่น มักเกิดผลให้ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าฝ่าย ที่เผลอตัวหลุดปากด้อยค่าคนอื่นว่า “กวนโอ๊ย” หรือฝ่ายที่ถูกกล่าวถึงว่ากวนโอ๊ย ถ้าวางอุเบกขาเหมือน “สีทนได้” ก็น่าจะผึ่งผายกว่าการโวยวาย ออกมาให้ขายหน้าชาวบ้านทุกคน..ทุกฝ่ายล่ะนะครับ..ถ้ายังมีลมหายใจ หนทางยังอีกยาวไกล..ใครทนได้มากกว่า มักเป็นผู้มีชัยอย่างน้อยก็สักครั้ง.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม