ท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงจะทราบแล้วว่าในสัปดาห์นี้ มีงานใหญ่งานหนึ่ง เป็นข่าวใหญ่ลงในหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ ตลอดจนทีวีหลายช่องจากการร่วมมือกันจัดขึ้นของ 5 องค์กรใหญ่ภาคเอกชน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เป็นงาน “แห่งอนาคต” เพื่อนำไปสู่การ “อยู่รอด” ของ “โลก” ที่เราอาศัยอยู่โดยตรงว่าอย่างนั้นเถิดมีชื่องานว่า “มหกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืน” และใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sustainability Expo 2023” หรือที่เรียกอย่างย่อๆว่า งาน “SX 2023” จัดมา 3 ครั้งแล้วครับ และครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 4เป็นงานที่ผมเอาใจช่วยเอาใจเชียร์มาตลอด และจะเขียนประชาสัมพันธ์ให้อย่างเต็มคาราเบลในทุกครั้งที่มีการจัดขึ้นอย่างปีนี้พอน้องๆฝ่ายประชาสัมพันธ์ของงานนี้ส่งข่าวมาให้ผมก็เขียนทันที โดยโปรยสั้นๆไปครั้งหนึ่งก่อนเมื่อฉบับวันเสาร์ และเขียนเต็มคอลัมน์ซูมซอกแซกเมื่อฉบับวันอาทิตย์ที่ผ่านมาวันนี้ขออนุญาตเขียนเป็นหนที่ 3 ครับ เพราะไปเที่ยวงานนี้ เมื่อบ่ายๆวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม วันหวยออกที่ผ่านมา พบว่าผู้คนไปเที่ยวค่อนข้างบางตาเมื่อเทียบกับปีกลายแต่อาจเป็นเพราะในการเปิดงานช่วงแรกนั้น โซนหลักๆที่เป็นหัวใจ ที่เป็นความรู้ เป็นแนวทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน และผลิตผลเพื่อการอุปโภคบริโภคที่เข้าข่าย “พอเพียงยั่งยืนเพื่อโลก” ธีมหลักของงานนี้ถึง 5 โซนยังไม่ได้เปิดเพิ่งจะมาเปิดเต็มรูปแบบเมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม ตามที่มีการเสนอข่าวในสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งไทยรัฐฉบับเมื่อวานนี้ส่งผลให้คนไปเที่ยวหนาตามากขึ้น แต่ผมก็ยังอยากจะให้ไปเยอะๆกว่านี้ครับ เพื่อไปเดินดูไปศึกษาหาความรู้ว่าโลกเราทุกวันนี้มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอะไรบ้าง? และจะต้องร่วมมือกันแก้อย่างไรดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วด้วยว่า โลกของเราใบนี้อยู่ในสถานการณ์ที่น่าห่วงอย่างยิ่ง ณ นาทีนี้ ทั้งร้อนทั้งแล้ง ทั้งเดือดในฤดูร้อน แต่พอเข้าฤดูฝนก็ทั้งตกทั้งท่วม รวมถึงแล้งแห้งผากในบางส่วนพอหนาวก็หนาวจัด มีข่าววิปริตต่างๆให้ได้ยินกันอยู่เสมอสืบเนื่องมาจากการที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งโลกได้ถูกทำลายลงอย่างชนิดราพณาสูรในหลายๆแห่ง หลายๆที่ของทุกทวีปพื้นที่ป่าหดหาย, ทะเลทรายเพิ่ม, ทะเลจริงแห้งลง, น้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย, คาร์บอนเต็มชั้นบรรยากาศ, PM2.5 ฝุ่นจิ๋วตัวร้ายมาเยือนทุกปี, ขยะก็มหาศาลทั้งบกและทะเล ฯลฯทั่วโลกเขาจึงได้ตื่นตัวกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก...พูดถึงสังคมคาร์บอนต่ำหรือปลอดคาร์บอนกันทุกวันบ้านเราก็พูดครับ ผมนั่งอ่าน แผนพัฒนาฉบับที่ 13 พ.ศ.2566-พ.ศ.2570 ที่ควรจะเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็มีการพูดถึง “หมุดหมาย” เรื่องนี้เอาไว้หลายๆหมุด แต่จะทำได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลยขอบคุณทั้ง 5 บริษัท อันได้แก่ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้, พีทีที โกลบอล เคมิคอล, ไทยเบฟ, ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป, และ SCG ที่ขันอาสาเป็นเจ้าภาพอีกครั้งในปีนี้ขอบคุณบริษัท ห้างร้าน และองค์กร ตลอดจนมูลนิธิกว่า 200 องค์กร ที่ไปออกร้านโชว์ผลงานในงานนี้ รวมทั้งวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิกว่า 400 คน ที่จะไปแบ่งปันให้ความรู้ตลอดงานสรุปว่า “มหกรรมการพัฒนาแบบยั่งยืน 2566” หรือ “SX2023” จะมีไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคมนี้เท่านั้นอย่าลืมแวะไปเดินดูด้วยนะครับ ดูเสร็จแวะโซน “SX Food Festival” หรือ “โซนอาหารยั่งยืน” ได้เลย เขายกร้านอร่อยกว่า 200 ร้านทั่วกรุงมาออก Street Food ในงานนี้ แถมตกแต่งฉากเป็นสถานที่สำคัญของ กทม. เช่น หัวลำโพง เสาชิงช้า ป้อมพระกาฬ ฯลฯ สำหรับ “เซลฟี่” อีกด้วยได้ทั้ง กิน ทั้ง ถ่าย (รูป) ครบเป้าหมายของคนยุคใหม่ว่างั้นเถอะชวนเด็กๆลูกๆหลานๆไปด้วยก็ดีครับ เขาจะได้รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? และจะต้องแก้อย่างไร?พวกเราอยู่อีกไม่นานก็ไปแล้ว...แต่เด็กๆจะอยู่อีกนาน ถ้าพวกเขาไม่สานต่อ รุ่นหลาน เหลน โหลน ภายหน้าอาจไม่มีพสุธาให้อยู่อาศัย (เพราะเป็นทะเลทรายหมด) อย่างเพลงปลุกใจเพลงหนึ่งในอดีตก็ได้นะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม