เดือนตุลาคมถือเป็นเดือนสำคัญ สำหรับคอการเมืองไทย เพราะเป็นเดือนที่มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้ง ปีนี้จึงมีการจัดกิจกรรมรำลึกอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ คือวันที่ 6 ตุลาคม ครบรอบ 47 ปี และวันที่ 14 ตุลาคม ครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 วันที่ประชาธิปไตยเบ่งบานเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นวันเศร้าสลดของประชาธิปไตยไทยตรงกันข้ามกับวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่คำปรารภของรัฐธรรมนูญ 2517 บันทึกไว้ว่า “วันที่ 13 และ 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ โดยเร็วที่สุด นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนและหนังสือพิมพ์ มีส่วนสำคัญในการแสดงประชามติอันแรงกล้า”คำปรารภของรัฐธรรมนูญ 2517 ระบุต่อไปว่า “การแสดงประชามติครั้งนั้น ได้มีผู้เสียชีวิตและเลือดเนื้อไปมิใช่น้อย ทำให้คณะรัฐบาลในยุคนั้น จำต้องกราบ ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง” นับเป็นชัยชนะในการลุกขึ้นต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชน จนได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ และทำให้ประชาธิปไตยเบ่งบานแต่ประชาธิปไตยแบ่งบานอยู่ได้แค่ 2 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ล้อมปราบ และรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ประเทศ ไทยกลับสู่ “ยุคมืด” อีกครั้ง การเมืองไทยตกอยู่ในวัฏจักร หมุนเวียนเปลี่ยนไปจากรัฐประหาร สู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเลือกตั้ง และกลับสู่รัฐประหารอีกครั้ง อย่างไม่รู้จบสิ้นรัฐประหารสองครั้งล่าสุด เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557 ขณะนี้มีรัฐธรรมนูญใหม่ และมีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติตรงกันว่า “ประเทศไทยปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แม้จะมีความคิดทางการเมืองต่างกันก็เป็นเรื่องปกติคนไทยอาจมีแนวคิดต่างกัน เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ขอแต่เพียงต้องยึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่ยึดมั่นอำนาจนิยม แม้แต่ประเทศแม่บทประชาธิปไตย เช่น สหราช อาณาจักรหรืออังกฤษ ก็มีรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม ส่วนประเทศไทยผ่านมาทั้งยุคสว่างและยุคมืด ที่ปิดปาก ปิดหู ปิดตาประชาชนขณะนี้การเลือกตั้งใหญ่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือน รัฐบาลใหม่เพิ่งเข้ารับหน้าที่ และรัฐบาลจะเป็นแกนนำในการแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ให้เป็นประชาธิปไตย เช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ หวังว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ จะเปิดทางให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม เพื่อให้เป็นของทุกคน โดยทุกคนและเพื่อทุกคน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม