นับตั้งแต่ “ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ทำให้ตัวเลขผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนคาดการณ์ว่าอีก 9 ปีข้างหน้าจะมีคนชราพุ่งสูงถึงร้อยละ 28 ของประเทศ แน่นอนว่าในวัยที่เพิ่มขึ้นนี้ “ร่างกาย” ย่อมเปลี่ยนแปลงเสื่อมถดถอยลงแล้วยิ่งหากไม่ดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมมักจะกลายเป็นการเปิดทางให้ “โรคภัยไข้เจ็บ” แทรกซ้อนเข้ามาหาได้ง่ายขึ้น นพ.ศิริชัย วิริยะธนากร อายุรแพทย์โรคหัวใจ รพ.ปิยะเวท บอกว่า นับแต่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุก็มีคนชราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้เห็นว่า “ผู้สูงอายุเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลเยอะขึ้น” ส่วนใหญ่เกิดจากโครงสร้างของร่างกายเสื่อมถอย อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดัน และโรคไขมันในเลือดสูงสิ่งนี้นำมาสู่ “การเกิดโรคเกี่ยวกับภาวะหัวใจ” ที่มักเจอกับผู้สูงอายุนั้นมีตั้งแต่ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” อันเป็นสาเหตุส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และอายุขัยสั้นลง โดยเฉพาะ “ภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ” (aortic valve stenosis) เป็นหนึ่งในโรคที่ไม่แสดงอาการ หรือแสดงอาการ แต่ผู้ป่วยไม่เข้าใจก็ปล่อยจนอาการรุนแรงย้ำอย่างนี้ว่า “ลิ้นหัวใจเอออร์ติก” เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมาก “คอยกั้นหัวใจห้องล่างซ้าย” หากเปรียบเทียบก็เหมือนเป็น “ประตูด่านสุดท้าย” ปล่อยเลือดที่หัวใจสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย นพ.ศิริชัย วิริยะธนากรแต่ว่าลิ้นหัวใจนี้มักจะเสื่อมถอยลงตามอายุของคนที่มากขึ้นนำมาซึ่ง “เกิดการสะสมของหินปูน” ทำให้การเปิดของลิ้นหัวใจลดลงที่เรียกกันว่า “ลิ้นหัวใจตีบ” ส่งผลให้เลือดที่ส่งจากหัวใจออกไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ลดลง แล้วเมื่อความตีบของลิ้นหัวใจรุนแรงถึงระดับหนึ่งจะทำให้การทำงานของหัวใจแย่ลงเรื่อยๆอีกด้วยส่วนใหญ่จะเจอในกลุ่มผู้มีอายุ 70-79 ปี ประมาณ 4% และในช่วงอายุ 80 ปีขึ้นไป ก็พบราว 10% เช่นนี้แล้ว “ผู้ป่วยด้วยโรคลิ้นหัวใจตีบนี้” มักมีอาการเหนื่อยง่าย หรือเหนื่อยเวลาออกแรง กลายเป็นทำกิจกรรมลดลง “เสี่ยงเป็นผู้ป่วยติดเตียง” แล้วยิ่งกว่านั้นในบางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก และหน้ามืดเป็นลมตามมาก็มีปัญหามีอยู่ว่า “อาการป่วยของแต่ละคนแสดงออกไม่เท่ากัน” ผู้สูงอายุบางรายทำกิจกรรมออกแรงแล้วเกิดอาการเหนื่อยกลับไม่บอกคนอื่นรับรู้ด้วย เพราะมัวแต่คิดว่าเป็นอาการเหนื่อยตามอายุมากขึ้น จึงไม่ได้รับการตรวจร่างกายจนไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เมื่อมีอาการเหนื่อยบ่อยๆ สุดท้ายก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นแต่หากว่า “ลิ้นหัวใจตีบหนักขึ้น” แม้ว่านั่งนอนอยู่เฉยๆก็มักจะมีอาการเหนื่อยได้เช่นกัน แล้วยิ่งบางคนอาจมีอาการเจ็บหน้าอก น้ำท่วมปอด ออกซิเจนในเลือดต่ำ ขาบวม และอาจเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน หรือภาวะหัวใจล้มเหลวทำงานผิดปกติ ในจำนวนนี้ผู้ป่วยบางรายตรวจพบจากการตรวจร่างกายหรือตรวจสุขภาพสิ่งนี้ล้วนเป็นผลจาก “โรคลิ้นหัวใจตีบ” ที่ทำให้เลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกาย หรือรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ แล้วอาการพวกนี้มักส่งผลต่อคุณภาพชีวิต อายุขัย และเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ ถ้าย้อนดูสมัยก่อน “ภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ” มักคิดว่าไม่สามารถก่อให้เกิดหัวใจหยุดเต้นได้ แต่ด้วยปัจจุบันมีข้อมูลยืนยันว่า “โรคนี้ทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้เหมือนกัน” เพราะลิ้นหัวใจตีบนี้ส่งผลให้การทำงานของหัวใจหนักเป็นเวลานาน “เกิดการบาดเจ็บบางส่วนจนเต้นผิดจังหวะ” ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตนั้น“ดังนั้นครอบครัวใดที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วยนั้น ควรหมั่นสังเกตอาการเวลาผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าหากชอบบ่นเหนื่อยอยู่บ่อยๆเช่นนี้ต้องพาเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายที่โรงพยาบาล เพื่อจะช่วยให้รู้ถึงอาการเจ็บป่วยได้เร็ว อันจะนำไปสู่กระบวนการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมทันท่วงที” นพ.ศิริชัยว่าประเด็น “การรักษาภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ” ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการหนักรุนแรงแล้ว “จะไม่มียารักษา” เพื่อช่วยให้หินปูนจับเกาะตามลิ้นหัวใจละลายลง หรือทำให้ลิ้นหัวใจที่ตีบอยู่นั้นเปิดขึ้นมาได้ ดังนั้นการรักษาในปัจจุบันคือ “การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ” ที่จะช่วยให้สามารถกลับมาสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ปกติทั้งยังช่วยลดแรงดันที่ส่งผลต่อหัวใจเอง ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถช่วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต แต่การเปลี่ยนลิ้นหัวใจนี้มี 2 วิธี กล่าวคือ วิธีแรก...“การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ” เป็นวิธีมาตรฐานทำกันมายาวนาน ด้วยศัลยแพทย์ทรวงอกทำการผ่าตัดใหญ่ผ่านทางหน้าอกเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในการเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยการผ่าตัดนี้ “จะมีการเปิดแผลขนาดใหญ่ที่หน้าอก” ทำให้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและดมยาสลบ แล้วในระหว่างการผ่าตัดนั้นอาจต้องหยุดหัวใจ หรือดึงเลือดออกจากหัวใจ จึงจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องปอดเทียมและหัวใจเทียม ทั้งการผ่าตัดมักใช้เวลานานและต้องนอนพักฟื้นในห้องไอซียูเป็นสัปดาห์เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ “โอกาสเกิดสภาวะแทรกซ้อนมีสูง” ยิ่งเป็นการผ่าตัดผู้สูงอายุด้วยแล้ว “การฟื้นตัวย่อมไม่เท่ากับคนหนุ่มสาว” เหตุนี้จึงทำให้ต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลกินเวลานานด้วยส่วนวิธีที่สอง...“การเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านทางสายสวน หรือที่เรียกว่า วิธี TAVI” เป็นการเปลี่ยนผ่านทางสายสวนหลอดเลือดที่ขา และจะมีแผล ขนาดเล็กบริเวณขาหนีบ ทำให้ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างทำ ช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีลดความเสี่ยงจากการใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจและลดความเจ็บปวดแล้วการทำหัตถการ TAVI ก็ใช้เวลาดำเนินการไม่นาน 1-2 ชั่วโมง เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะใช้เวลานอนพักฟื้นสังเกตอาการในห้องไอซียูและห้องพิเศษในโรงพยาบาลประมาณ 4-5 วัน จากนั้นก็กลับบ้านสามารถเดินใช้ชีวิตตามปกติ แต่อาจจะมีนัดติดตามอาการอีก 1 สัปดาห์ นั่นก็แปลว่า “วิธีผ่าตัด TAVI” ฟื้นตัวเร็วกว่า “ผ่าตัดใหญ่” ดังนั้นผู้ป่วยที่เหมาะกับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยวิธี TAVI มักเป็นผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป คนไข้มีโรคหลายอย่าง ผู้เคยผ่าตัดหัวใจ หรือเคยฉายรังสีทรวงอกมาก่อนตอกย้ำว่า “วิธีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ TAVI” ในต่างประเทศทำกันมาราว 10 ปี ส่วนประเทศไทยเริ่มนำวิธีนี้มาใช้ได้ 2-3 ปี ในจำนวนนี้ “รพ.ปิยะเวท” เป็นหนึ่งที่ได้ให้การรักษาด้วยการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ TAVI โดยทีมบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญ รวมถึงมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากลและมีความปลอดภัยสูงเท่าที่เคยทำการเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยวิธี TAVI อย่างเช่นกรณี “ผู้ป่วยลิ้นหัวใจตีบอายุ 94 ปี” ถ้าหากเป็นสมัยก่อน “คนอายุขนาดนี้” แพทย์คงไม่ผ่าตัดให้แน่นอนเพราะมีความเสี่ยงสูง แต่เรานำเทคโนโลยีของวิธี TAVI มาใช้นั้น ทำให้มีความแม่นยำปลอดภัยสูง “การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี” ปัจจุบันนี้คนไข้สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติดังเดิมอีกกรณี “ผู้ป่วยอายุ 74 ปี เกิดอุบัติเหตุกระดูกสะโพกหักต้องผ่าตัดด่วน” ปรากฏเจอว่า “ลิ้นหัวใจตีบรุนแรง” ถ้าต้องผ่าตัดสะโพกควรแก้ไขภาวะนี้ก่อน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถดมยาสลบใช้เครื่องช่วยหายใจได้ หรือในระหว่างผ่าตัดเกิดเลือดออกมาก “ป่วยลิ้นหัวใจตีบ” อาจมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเกิดภาวะช็อกเสียชีวิตก็ได้ เช่นนี้ “ทีมแพทย์หัวใจ” จึงเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยวิธี TAVI ใช้เวลาฟื้นตัว 2-3 วัน ก่อนผ่าตัดสะโพกสำเร็จ ฉะนั้นวิธี TAVI เป็นจุดเปลี่ยนช่วยผู้ป่วยรายนี้ผ่าตัดสะโพกได้เร็วปลอดภัย ทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติสุดท้ายฝากไว้ว่า “ลิ้นหัวใจตีบมักเจอกับผู้สูงอายุ” ดังนั้นคนในครอบครัวควรหมั่นสังเกตอาการลักษณะเหนื่อยง่าย หรือออกแรงมีอาการหน้ามืด เช่นนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์ตรวจร่างกายจะปลอดภัยที่สุด เพราะการรู้อาการป่วยเร็วย่อมพอมีหนทางแก้ไข เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดี และสามารถอยู่กับลูกหลานยืนยาวขึ้นฉะนั้นแล้ว “การเรียนรู้ถึงปัญหาสุขภาพ” ไม่ว่าจะเป็นวิธีป้องกัน การดูแลรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นจะช่วยให้ “ผู้สูงอายุสุขภาพดี และมีชีวิตชีวา” สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้อีกยาวนาน...