ในคอคิดขอเขียนเล่ม หัวข้อเรื่อง “แถบทอง” กาญจนาคพันธุ์ เล่าถึงเมืองหนึ่ง ชื่อกะหลาป๋า ฟังผิวเผินเหมือนเรื่องในนิทาน แต่ฟังๆไปคล้ายเป็นเรื่องจริงเมืองกะหลาป๋านี้ คนไทยสมัยขุนแผนรู้จักดี เพราะส่งสำเภาขนสินค้ามาขายเมืองไทยมากของที่ส่งมาก็ล้วนแต่เป็นของดีๆตัวอย่าง ตอนพระไวยจะแต่งงานกับนางศรีมาลา...สมเด็จพระพันวษา พระราชทานกระจกเงากะหลาป๋าให้กระจกเงาบานนี้ขุนแผนเอามาใช้ต่างลูกแก้ว เพ่งกสิณดูวิธีทำเสน่ห์ของนางสร้อยฟ้านอกจากมีกระจกเงากะหลาป๋า ยังมีชมพู่กะหลาป๋า หมวกกะหลาป๋า สินค้าส่งออกเหล่านี้ ทำรายได้เข้าท้องพระคลังของท่านสุลต่านกะหลาป๋าเป็นอันมากแต่สินค้าส่งออกขายดีที่ว่า เป็นเพียงรายได้เข้าท้องพระคลังส่วนน้อย รายได้ส่วนใหญ่ที่สร้างชื่อให้สุลต่านกะหลาป๋า คือน้ำมัน...เอ๊ย! ไม่ใช่ สมัยขุนแผนโลกยังไม่รู้จักการขุดน้ำมันจากใต้ดิน...รายได้หลักของสุลต่าน คือรายได้จากการพนันชนไก่สมัยสุลต่านกะหลาป๋า การพนันชนไก่เฟื่องฟูเป็นอันดับหนึ่ง ไก่ของใครที่ชนชนะจะต้องตกเป็นของสุลต่าน เจ้าของไก่ต้องหาเงินไปไถ่คืนไก่ตัวไหนยิ่งชนะเดิมพันมาก ก็ยังต้องใช้เงินไถ่ถอนมากด้วยประการฉะนี้...สุลต่านในฐานะเจ้าของมหานครแห่งบ่อนไก่ จึงมีรายได้มากเป็นทวีคูณ จนเล่าลือกันว่าเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยกว่าบ้านเมืองใดๆในละแวกใกล้เคียงมีเรื่องเล่าอีกว่า รายได้จากบ่อนไก่ มหาดเล็กจะแปรเป็นทองคำหล่อเท่าแท่งก้อนอิฐ เข้าไปทูลเกล้าฯถวายท่านสุลต่านทุกเช้า ทันทีที่ทรงตื่นบรรทมท่านสุลต่านรับไว้ ไม่สนใจไยดีกระไรนัก ท่านก็โยนใส่สระข้างพระราชมณเฑียร สระน้ำนี้คือที่เก็บก้อนอิฐทองคำที่เปิดเผยมากแขกเมืองไปมา สุลต่านก็มักเลือกเวลาน้ำลง (สระมีคลองเชื่อมทะเล) แขกเมืองก็จะเห็นก้อนอิฐทองคำกองเท่าภูเขา ราษฎรก็มักแซ่ซ้องขอชมพระบุญญาธิการ เพราะอยากเห็นกับตา ท่านสุลต่านพระองค์ใด จะมีอิฐทองคำเป็นภูเขาสูงใหญ่กว่ากันนี่คือกฤษฎาภินิหาร แสดงบุญญาบารมีกาญจนาคพันธุ์ ตั้งข้อสังเกต มีประเพณีที่ทำให้เชื่อว่า ท่านสุลต่านผู้รุ่มรวยนั้น น่าจะดำรงสิริราชสมบัติได้ไม่นาน เหตุเพราะมีกติกาเมื่อท่านสิ้นพระชนม์ภูเขาอิฐทองคำจะถูกนำไปหล่อหลอม เอามาแบ่งแจกกันในหมู่พระราชวงศ์ไปถึงเสนาอำมาตย์ข้าราชบริพาร ไปจนถึงราษฎรสามัญ มากน้อยตามลำดับไหล่ด้วยประเพณีนี้ล่ะ ท่านสุลต่านจึงมักมีอุบัติเหตุ พระชนมายุสั้น... เพราะนับวันที่ท่านร่ำรวยมาก ก็จะมีคนมากมายนั่งนอนรอแบ่งทองคำนี่เป็นเรื่องเล่าของเมืองกะหลาป๋า...ซึ่งสมัยนี้เรียกกันว่าเมืองชวา...แม้เลิกธุรกิจบ่อนชนไก่แล้ว แต่ฐานะเศรษฐกิจดีกว่าหลายบ้านเมือง โดยเฉพาะเมืองไทยเมืองไทยเรานี้ ก็พอมีเหตุผลที่จะเป็นเมืองยากจน เพราะเราไม่ยอมให้มีบ่อนพนัน นี่ก็มีข่าวแว่วๆว่าเราอยากจะรวย อยากจะมีบ่อนพนัน...แต่ก็ยังไม่รู้จะมีหรือไม่...เราเป็นเมืองพุทธครับ คนไทยเราหน้าบาง ถึงจนก็จนอย่างสุขใจ อยากจะเอาอย่างเมืองกะหลาป๋าบ้าง จึงทำไม่ได้กับเขาสักที.กิเลน ประลองเชิง