ผมเพิ่งค้นเจอหนังสือนิทานอีสปฉบับแพร่พิทยา พิมพ์ พ.ศ.2507 ถือว่าเก่าถึงใจ ยศ วัชรเสถียร แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ มี 82 เรื่อง เรื่องที่ 12 ชาวนากับงูพิษอยากรู้ชาวนาเป็นชาวนาคนเดียวกับที่ถูกงูเห่ากัดตาย...ในนิทานที่อ่านสมัยเรียน ป.1 หรือไม่ ก็ต้องอ่านลูกชายชาวนาเผอิญเดินไปเหยียบหางงูพิษตัวหนึ่งเข้างูตกใจด้วยเจ็บด้วย จึงแว้งกัดเอาลูกชายชาวนาถึงแก่ความตายชาวนาผู้พ่ออยู่ใกล้ๆ โกรธมากฉวยขวานฟันงูตัวนั้นหางขาด แต่ก็หนีไปได้งูพิษจึงกระทำการแก้แค้น ย้อนมาแอบกัดปศุสัตว์ของชาวนา ล้มตายไปทีละตัวสองตัว จนกระทั่งเกือบหมดชาวนาหมดหนทางที่จะยับยั้งหรือป้องกันงูกัดปศุสัตว์ได้ แทนการตามล่าตามฆ่าล้างแค้น เขาเปลี่ยนวิธีเป็นตรงกันข้าม ด้วยการคิดหาทางผูกมิตรเป็นไมตรีกับงูเขาจึงสรรหาอาหารอันมีรสโอชะ รวมทั้งผึ้งที่เขาคิดว่างูก็ชอบไปให้แล้วเจรจากับงูว่า “จงลืมเสีย และให้อภัยเถิด”ชาวนาย้อนความหลัง...“บางทีเจ้าอาจจะทำถูกต้องแล้วก็ได้ที่ลงโทษลูกชายข้า ซึ่งซุ่มซ่ามไปเหยียบหางเจ้าเข้า...และการที่เจ้ากัดวัวควายของข้าล้มตายก็เช่นเดียวกันต่อไปนี้ขอให้เจ้าหยุดการแก้แค้นจะได้หรือไม่ แล้วเราก็กลับมาเป็นมิตรต่อกันดังเดิมไม่ดีกว่าหรือ?”“อย่าเลย อย่าเลย” ฝ่ายงูตอบ “จงเอาของกำนัลของเจ้ากลับไป เพราะเจ้าไม่อาจลืมความตายของลูกเจ้าได้หรอก และข้าเองก็ไม่อาจลืมการสูญเสียหางของข้าได้ เช่นเดียวกัน”นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยคำสอน “การกระทำร้ายให้เจ็บปวดนั้น ให้อภัยแก่กันได้ แต่จะให้ลืมเสียนั้นหาได้ไม่”เป็นอันว่า ชาวนาคนนี้คนละคนกับชาวนาในนิทานอีสป ฉบับแบบเรียนชั้น ป.1เพราะชาวนาคนนั้น เจองูเห่านอนตัวแข็งทำท่าจะหนาวตาย จึงประคองงูเห่าให้ความอบอุ่น จนงูฟื้น แล้วแว้งกัดตัวชาวนาตายเองแต่ในนิทานอีสปฉบับแพร่พิทยา...ลูกชาวนาถูกงูพิษกัดตาย ชาวนาคว้าขวานฟันงูหางขาด...แล้วจึงมาเจรจาหย่าศึกกันภายหลังเค้าเรื่องชาวนากับงูพิษหรืองูเห่าคล้ายกัน แต่เงื่อนปมเรื่องต่างกัน จึงต้องถือว่า ชาวนาเป็นคนละคน และงูเห่ากับงูพิษเป็นคนละตัวชาวนาที่ถูกงูเห่ากัดตาย ผู้เล่าเจตนาจะสอนให้ระมัดระวัง การช่วยเหลือคนอื่น แต่ชาวนากับงูพิษ ผู้เล่าเจตนาสอนให้รู้จักคิดว่า การจะทำร้ายใคร...สักคนนั้น ต้องคิดให้รอบคอบ คิดให้มากๆเพราะหากคนที่ถูกทำร้ายไม่ตาย ทั้งยังมีเรี่ยวแรงกำลังย้อนกลับมาแก้แค้นได้ ก็จะเป็นภัยแก่ตัวไม่สิ้นสุดเรื่องจริงที่พอรู้ๆกัน คนที่ร้ายบางคน ทั้งอิทธิฤทธิ์ ทั้งความอาฆาตมาดร้าย รุนแรงยิ่งกว่างูเห่า...เมื่อฆ่าไม่ตาย...เรื่องร้ายก็เกิดตามมาไม่หยุดหย่อนเรื่องงูเห่านั้น...โบราณท่านรู้ฤทธิ์ดี จึงมีคำสอน “ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง...”คำสอนนี้แปลความง่ายๆ...ตีงูเห่าต้องตีให้ตายเอ้อ! แค่งูเห่าตัวเดียว ยังยุ่งกันนุงนัง นี่เลี้ยงดูกันเป็นฟาร์ม เรื่องจะยุ่งนุงนังกันไปแค่ไหนก็ยังไม่รู้.กิเลน ประลองเชิง