วันนี้ไปฟังข้อห่วงใยของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯกันต่อครับ ข้อห่วงใยประการที่ 3 สถานการณ์โลกทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การค้าโลก การลงทุน และการท่องเที่ยวจะไม่เหมือนเดิม ส่งผลให้ปัจจัยภายนอกที่เคยเป็นแรงลมค้ำจุนเศรษฐกิจไทยอ่อนตัวลง และยากที่จะฟื้นตัวในเวลาอันสั้น จำเป็นต้องสร้างพลังเศรษฐกิจจากภายในโดยเร่งด่วน แต่แผนพัฒนาตั้งแต่ฉบับที่ 1-12 ความมั่งคั่งไม่เคยกระจายถึงฐานราก ยิ่งวันช่องว่างยิ่งถ่างกว้าง อำนาจซื้อภายในจึงไม่เพียงพอกับเป้าหมายการเติบโต ทำให้ไทยยังคงพึ่งพาปัจจัยภายนอกมาโดยตลอดแต่วันนี้ เมื่อแรงลมหนุนจากภายนอกอ่อนแรง ในขณะที่เศรษฐกิจเราอ่อนตัว คนไม่มีงานทำ ขาดรายได้ ทางเดียวที่จะช่วยได้คือ การเร่งปรับโหมดนโยบายให้นํ้าหนักเพิ่มมากขึ้นกับการสร้างเศรษฐกิจภายในให้เต็มที่และจริงจัง เพื่อสร้างพลังระเบิดจากภายใน อะไรที่เคยเป็นอุปสรรคต้องใช้โอกาสนี้ขจัด การท่องเที่ยวไม่ใช่นั่งรอต่างประเทศ แต่ต้องเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวจากภายใน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่เพียงให้มาลงทุนเพื่อส่งออก แต่ต้องลงทุนให้ภายในเข้มแข็งแต่ละจังหวัดไม่ใช่เป็นเพียงการแยกอาณาเขต แต่ต้องเปลี่ยนให้แต่ละจังหวัดเป็นเครื่องยนต์ในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ ทำให้ 77 จังหวัดเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดยักษ์ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ลงไปถึงผู้นำหมู่บ้าน จะต้องเป็นนักพัฒนา มีความเข้าใจเศรษฐกิจและการบริหาร ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ปกครอง การขับเคลื่อนต้องเน้นบูรณาการ ไม่แยกส่วนข้อห่วงใยประการที่ 4 ได้เห็นแนวโน้มความสามารถการแข่งขันที่เริ่มลดลงโดยลำดับ เรารู้ว่าเรายังต้องอาศัยการส่งออก แต่หลายอุตสาหกรรมของเรากำลังถดถอย เป็นที่คาดการณ์ว่า ในไม่ช้าศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ของเราก็กำลังจะไป รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาทดแทน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเราขาดความพร้อมโดยเฉพาะแบตเตอรี่ อีกทั้งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นปรับตัวช้า ขณะที่ อินโดนีเซีย มีประชากรมากกว่า มีแนวโน้มเศรษฐกิจดี มีวัตถุดิบใช้ผลิตแบตเตอรี่ เราได้ปักหมุด 4.0 กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย new s–curve มี EEC เป็นแม่เหล็ก แต่อีอีซีขณะนี้เหมือนรถขาดน้ำมัน ไม่รู้ใครดูแล โครงการใหญ่ติดขัด แหลมฉบัง มาบตาพุด อู่ตะเภา ก็ไปได้ช้า หลับตาก็เห็นภาพใครจะแก้ไขข้อห่วงใยประการที่ 5 เราเห็นประเทศไทยเริ่มสูญเสียความมีนัยสำคัญในเวทีการเมืองโลกโดยเฉพาะในอาเซียน จากประเทศที่ใครก็มองข้ามไม่ได้ มีเสียงที่โลกต้องรับฟังหากเกี่ยวข้องกับการเมืองในภูมิภาค ต่างประเทศมองเราเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในอาเซียน แต่เพราะความถดถอยในความสามารถการแข่งขัน การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เร็วพอ การถูกมองว่ายังเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ทำให้ไทยเริ่มถูกประเทศคู่แข่งเบียดจากบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเริ่มหายไปจากจอเรดาร์การเมืองโลก“ผมจำได้ว่า ท่านลีกวนยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ เคยกล่าวไว้ว่า ขนาดของประเทศไม่สำคัญ สำคัญที่ประเทศนั้นสามารถทำตัวให้มีนัยสำคัญในเวทีโลกได้หรือไม่ ถ้ามีนัยสำคัญจะเป็นพลังดึงดูดการค้าการลงทุนที่สำคัญยิ่ง” ไทยเราเคยอยู่ในฐานะเช่นนี้ เราเป็นศูนย์กลางการลงทุนของญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งใน one belt one road ของจีน และ มีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯอย่างแน่นแฟ้น แต่ขณะนี้มีคำถามมากขึ้นทุกทีว่า ความแน่นแฟ้นระหว่างไทยจีน ไทยญี่ปุ่น จะยังเหมือนเดิมหรือไม่ข้อห่วงใยประการสุดท้าย คือ ภาวะ Disintegration of nation power แปลเป็นไทยว่า ภาวะสลายตัวของพลังแห่งชาติ จาก ความขัดแย้งและแตกแยกของคนในชาติ ที่เริ่มจาก ความเห็นต่างทางการเมืองสู่การแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย เป็นสิ่งที่อันตรายมาก...แม้จะย่อมาสั้นๆฟังแล้วก็ยังหนาว “อนาคตประเทศไทยจะไปต่อได้อย่างไร” ถ้าเรายัง ขยันสร้างความเกลียดชังแตกแยกในชาติ เพียงเพราะ ความเห็นต่างทางการเมือง.“ลม เปลี่ยนทิศ”