เรื่องหมู...หมู แต่ทำท่าจะไม่หมูซะแล้ว กับปัญหาราคาเนื้อหมูที่พุ่งสูงขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ดูท่าราคายังคงมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อเนื่อง ไปจนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนเลยทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นั่งไม่ติดเก้าอี้รีบสั่งการไปยังกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เร่งดูแลบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคมีการกำชับไปยังคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ให้เร่งหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรตั้งแต่ต้นทุนการผลิต สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนหมู รวมทั้งส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทั้งปลอดดอกเบี้ย และดอกเบี้ยต่ำหวังจูงใจให้ผู้เลี้ยงหมูกลับมาเพิ่มปริมาณสุกรกลับเข้าสู่ระบบโดยเร็วรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์อ้างเรื่องกลไกตลาด เมื่อผู้เลี้ยงลดปริมาณการเลี้ยงลง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียจากโรคระบาด ส่งผลให้ปริมาณหมูในระบบลดลง ทำให้ราคาหมูขายปลีกหน้าเขียงสูงขึ้นเราลองไปฟังเสียงสะท้อนของกลุ่มผู้เลี้ยงสุกร นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม หรือ “เฮียมิตร” อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ในฐานะนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี ผ่านบทสัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจกันบ้างนายนิพัฒน์สะท้อนปัญหาวิกฤติราคาหมูที่พุ่งสูง นอกจากผู้บริโภคจะเดือดร้อนแล้ว คนเลี้ยงหมูก็เดือดร้อนด้วย ที่ผ่านมาคนเลี้ยงหมูต้องเผชิญกับ โรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ทำให้หมูได้รับความเสียหายไปจำนวนมาก เพราะไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียารักษาในฐานะผู้เลี้ยงหมูมา 30 กว่าปี ถือว่าหนักสุดหมูตายเกือบหมดประเทศ โรคระบาดส่งผลให้หมูแม่พันธุ์ทั้งประเทศที่มีประมาณ 1.1 ล้านตัว ผลิตลูกหมูได้ 21-22 ล้านตัว ตอนนี้เหลือแม่หมูอยู่ประมาณ 550,000 ตัว ผลิตหมูขุนได้ประมาณ 12-13 ล้านตัวต่อปีแต่อย่าลืมว่าโรคระบาดยังไม่หยุด เพราะไม่มียา ไม่มีวัคซีน ภาพรวมเลยมีแต่เท่ากับหรือลดลง ไม่มีเพิ่มขึ้น คนเลี้ยงขาดทุน เจ๊ง บางคนเสียหาย 100% หมดทั้งฟาร์มก็มี โดยที่ภาครัฐไม่ได้เข้ามาเหลียวแลคนเลี้ยงก็เลยต้องใช้วิธีถัวเฉลี่ยราคาเอา มีแนวโน้มปรับราคาขึ้นไปอีก เพราะความเสียหายยังคงอยู่วันนี้คนได้ประโยชน์คือ บริษัทใหญ่ที่มีหมูมากที่สุด วันนี้ผู้เลี้ยงรายย่อยหมูตายไปหมดแล้ว แต่บริษัทใหญ่เสียหายไม่เกิน 30% ผลกระทบต่างกันซึ่งมีแนวคิดเสนอกรมปศุสัตว์ให้พิจารณา การนำเข้าหมูจากต่างประเทศ มาทดแทนให้ราคาหมูมีเสถียรภาพ โดยไม่กระทบต่อผู้เลี้ยงและเก็บค่าธรรมเนียม (Surcharge) จากหมูนำเข้านำเงินจากการเก็บค่าเซอร์ชาร์จไปเป็นเงินกองกลางของ “Pig Board” มีตัวแทนสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ, กรมปศุสัตว์, กรมการค้าภายใน เข้าร่วม เงินก้อนนี้จะนำไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหามีประเด็นสำคัญ การปกปิดเรื่องโรค ASF ที่กรมปศุสัตว์ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ใช่โรค ASF แต่เป็น โรคเพิร์ส หรือ PRRS ทำให้โรคมันลุกลามไปทั่วประเทศจึงมีข้อเรียกร้องให้ภาครัฐมีความจริงใจ แก้ปัญหา 3 ข้อ คือ 1.จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ 2.ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยที่มีอยู่ 2 แสนราย กลับมาอยู่ในอาชีพเลี้ยงหมูได้เหมือนเดิม 3.การฟื้นฟูเยียวยานั่นคือเสียงจากตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยแม้ราคาหมูจะขยับสูงขึ้น แต่ยังต้องแบกรับต้นทุนความเสียหายที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าขณะที่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่มีแต่ได้กับได้.เพลิงสุริยะ