นับเป็นประเด็นร้อนข้ามคืน “เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น” ที่ออกมาปักหลักหน้าทำเนียบรัฐบาล ในการปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดและทรัพยากรหล่อเลี้ยงชีวิต กำลังถูกผลักดันเปลี่ยนเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เข้ามาทำลายวิถีชุมชน และธรรมชาติแห่งท้องทะเลอุดมสมบูรณ์ไปจากพวกเขาอันใกล้นี้ด้วยในช่วง “ยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” มีการอนุมัติ “โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ครอบคลุม 3 พื้นที่ คือ อ.เบตง จ.ยะลา อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แล้วปี 2562 ก็ทิ้งทวนอนุมัติผลักดันให้ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นเขตพัฒนาพิเศษด้วยเช่นกันทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ “มีคำสั่งปฏิบัติการสลายชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น” เป็นความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรากฏภาพคลิปวิดีโอ “ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าจับกุมชาวบ้าน” ถูกหิ้วขาขึ้นรถขนผู้ต้องหานำตัวไปที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต ถูกเผยแพร่ผ่านในโซเชียลฯไปทั่วประเทศ ลุกลามบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว “ชาวบ้าน” ไม่พอใจพากันออกมาชุมนุมขยายออกไปในพื้นที่ภาคใต้ คู่ขนานกับเวทีปักหลักอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อทวงถามสัญญา “หยุดโครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ในเรื่องนี้ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา เล่าว่า จริงๆแล้ว “อ.จะนะถูกจับจ้องกำหนดเป็นเมืองนิคมอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว” ตามแผนเดิมคือ “การสร้างโรงแยกก๊าซและโรงไฟฟ้าจะนะ” เพื่อความมั่นคงทางพลังงานรองรับอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาอยู่แล้ว “ชาวบ้านออกคัดค้านกันอย่างหนัก” ทำให้แนวคิดโครงการเหล่านี้หยุดชะงักไปแต่ถัดมา “ฐานภาคตะวันออกมิอาจขยายอุตสาหกรรมได้” ที่เต็มไปด้วยโรงงาน และมลพิษแล้ว “ฐานชุดความคิดก็มุ่งมาภาคใต้” ในพื้นที่ อ.จะนะ และ อ.เทพา จ.สงขลา ถูกจัดวางเป็นฐานอุตสาหกรรมต่อไป...โครงการเริ่มชัดขึ้นในปี 2562 ครม.อนุมัติให้พัฒนา อ.จะนะ เป็นเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคตขนาดใหญ่ 1.6 หมื่นกว่าไร่ โดยมีเอกชนเข้ามาลงทุนภายใต้การขยายพื้นที่สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนอันมี “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นเจ้าภาพหลัก ต่อมาก็มีนักการเมืองเข้ามากว้านซื้อที่ดินรวบรวมทำโครงการกินพื้นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเล 3 ตำบล คือ ต.นาทับ ต.ตลิ่งชัน ต.สะกอม...เรื่องนี้ “ขัดต่อความรู้สึกชาวบ้าน” เพราะพื้นที่แห่งนี้เป็นฐานทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ในการทำประมงด้วยภูมิปัญญาแบบพื้นถิ่น “หล่อเลี้ยงคนสงขลา และส่งขายทั่วประเทศ” เป็นรายได้หลักจนถึงวันนี้ ตอกย้ำในปี 2563 “พี่น้องจะนะ” พากันเคลื่อนพลมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องต่อรัฐบาลพิจารณายกเลิกโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ครั้งนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น เป็นตัวแทนเข้ามาเจรจากับกลุ่มชาวบ้านแล้วทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันหลักสำคัญ “ยุติโครงการเอาไว้ก่อนและยุติการจัดทำประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA, EHIA)” เพื่อกลับมาศึกษาศักยภาพพื้นที่ อ.จะนะ มีความเหมาะสมต่อการเป็นนิคมอุตสาหกรรมหรือไม่แล้วค่อยเริ่มทำ EIA ในการเปลี่ยนสีผังเมืองให้สอดคล้องการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ที่ถูกนำเข้า ครม.พิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหา กรณี โครงการนี้มี “ร.อ.ธรรมนัส” เป็นประธานฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบสรุปรายงานเรียบร้อย แต่ว่าชาวบ้านไม่เห็นรายงานฉบับนี้ เมื่อเวลาผ่านมา 1 ปี ปรากฏว่า “รัฐบาล” ไม่ดำเนินการใดๆแถมเดินหน้าจัดทำกระบวนการแก้ไขผังเมืองในพื้นที่ เปลี่ยนสีผังเมืองจาก “สีเขียว” ที่ดินประเภทชนบท เกษตรกรรม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ กลายเป็น “สีม่วง” สำหรับประกอบอุตสาหกรรมราว 1.6 หมื่นกว่าไร่ทั้งเอกชนยังเดินหน้าจัดทำ EIA, EHIA เป็นการผิดเงื่อนไขข้อตกลงที่ได้ลงนามกันไว้ทำให้ “ชาวบ้านกลับมาทวงสัญญาจากรัฐบาลเคยให้ไว้” แล้วกลายเป็นว่า “นายกรัฐมนตรี” กลับปฏิเสธผ่านสื่อว่า “ครม.ไม่ได้เห็นชอบ MOUของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น แค่รับทราบข้อเรียกร้อง” แม้มตินั้นจะมีเอกสารออกมาชัดเจนก็ตาม...ทำให้มีข้อสังเกตว่า “นายกฯ” ปฏิเสธไม่ยอมรับปฏิบัติตามเช่นนี้ “ขัดมติ ครม.อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่” แต่สิ่งนี้ก็เป็นสัญญาณว่า “รัฐบาล” เดินหน้าทำโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมฯแน่นอน ปัญหาตามมา “ต.นาทับจะหายไป 1 ใน 3 ของพื้นที่ ต.สะกอม หายไป 20%” กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กินพื้นที่ราวเกือบ 20,000 ไร่ เชื่อว่าในอนาคตก็ค่อยๆขยายออกไปเรื่อยจนเต็มพื้นที่ที่พัฒนาให้ผืนดินเป็นคอนกรีตแล้ว “วิถีชุมชน และฐานทรัพยากรธรรมชาติท้องทะเล” ก็เปลี่ยนแบบกู่ไม่กลับอีกต่อไป หนำซ้ำ...“หมู่บ้านที่มีผู้อาศัยราว 1 หมื่นคน” อาจต้องถูกรายล้อมด้วยนิคมอุตสาหกรรมกำแพงสูงแล้ว เดิมเคยมีความสุขกับการประกอบอาชีพทำการประมงพื้นบ้าน ปลูกผัก ปลูกแตงโมฟักทองค้าขาย เขาเลี้ยงนกเขา มีรายได้เลี้ยงครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุขเล็กๆน้อยๆในภูมิลำเนาบ้านเกิดตัวเองเช่นกรณี “ลุงชาวประมงคนหนึ่ง” มีลูก 9 คน ทุกวันออกเรือจับปลากับภรรยาสามารถเลี้ยงลูกเติบใหญ่เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วบางคนก็ทำการประมงจนมีบ้าน มีรถยนต์ เพราะมีทะเลอุดมสมบูรณ์เป็นที่ทำมาหากิน...ถ้าหาก “มีนิคมอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” คงหนีไม่พ้นชาวบ้านต้องถูกผลักเข้าสู่การขายแรงงาน ทั้งรับจ้างเป็นยาม แม่บ้าน คนตัดหญ้า คนทำความสะอาดห้องน้ำ พนักงานขับรถที่มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยบาทแล้วน้อยคนจะได้ทำบัญชี ทำงานช่างเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ไม่อาจเลี้ยงครอบครัวได้ซ้ำร้าย...“นิคมอุตสาหกรรมฯจะนะ” มีแผนทำท่าเรือน้ำลึก 3 ท่า ลักษณะคล้ายท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า ขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว และปิโตรเลียมแล้ว “เรือเข้าเทียบต้องการร่องน้ำลึก 16 เมตร” แต่ อ.จะนะเป็นหาดน้ำตื้นต้องวิ่งเรือไปเป็นสิบ กม.ค่อยเจอน้ำลึกได้ สิ่งนี้จะทำให้ “ทะเลจะนะที่มีความสมบูรณ์มา 20 ปี” ที่ชาวประมงจับแต่ปลาใหญ่แล้วกรมประมงร่วมวางปะการังเทียมไปจำนวนมาก ปูปลากุ้งกั้งที่มีอยู่ รวมถึงชายหาดที่มีความบริสุทธิ์สวยงาม เป็นเพชรที่รอการเจียระไนต้องมาเป็นท่าเรือ 3 ท่าที่กินน้ำลึก 16 เมตร สุดท้ายท้องทะเลแห่งนี้ก็เสียหายเปลี่ยนไปสิ้นเชิง“อนาคต อ.จะนะก็จะเป็นเหมือนมาบตาพุด ในส่วน อ.เมืองสงขลา อาจมีสภาพเหมือน จ.ระยอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญต่อการเปลี่ยนเป็นเมืองอุตสาหกรรมอันใกล้นี้ที่เราต้องมาร่วมกันคิดเห็นว่า จ.สงขลาเดิมยืนด้วยสี่ขาคือ ธุรกิจ การท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม จะเปลี่ยนมาหนักอุตสาหกรรมแล้วหรือไม่” นพ.สุภัทรว่า หากย้อนดูเรื่องนี้ “ศอ.บต.” เคยมีความพยายามทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 11 ก.ค.2563 ที่แปลกตารายล้อมเต็มไปด้วย “กองทัพทหาร รถหุ้มเกราะ ลวดหนาม” เพื่อมิให้ฝ่ายเห็นต่างเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นในครั้งนั้นที่ “อนุญาตเฉพาะผู้มีสติกเกอร์” แล้วนำประชาพิจารณ์นี้เป็นข้ออ้าง “คนจะนะ” สนับสนุนอย่างท่วมท้น...ย้ำว่า “ชาวบ้านจะนะที่เห็นต่างการสร้างนิคมฯ” ก็มิละความพยายามคงคัดค้านกันมาตลอดจนได้ “มติ ครม.ยุติโครงการไว้ก่อน” แต่ฝ่ายบริหารกลับไม่ยอมรับ ไม่ปฏิบัติตาม MOU ทำให้เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นกลับมาทวงสัญญาโดยชอบธรรม แต่ได้รับการตอบรับด้วยสลายชุมนุมพี่น้องจะนะที่หน้าทำเนียบรัฐบาลโดยทันทีสุดท้ายฝากไว้ว่า “โรงงานเปรียบเสมือนรถยนต์ใหม่” ที่สภาพเครื่องยนต์ดีใช้ได้สิบปีผ่านไปแล้วจะบำรุงรักษาดีแค่ไหน ย่อมมีการสึกหรอเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับ “โรงงานอุตสาหกรรม” หลังเปิดทำการสิบปีไปยังไงก็ต้องเกิดมลพิษแน่นอน แล้วยังเปลี่ยนผืนดินสีเขียวกลายเป็นผืนคอนกรีตเกือบ 20,000 ไร่ฉะนั้นแล้ว “คนพื้นที่ อ.จะนะ” เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงแล้วควรมีสิทธิตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตัวเองที่มิใช่ “คนนอกพื้นที่” เป็นผู้มีสิทธิเหนือกว่าจัดการเลือกให้แทน...