เมื่อวานนี้ผมเพิ่งจะเขียนถึงนักกลอนเอกร่วมสมัยของผู้คนยุคเรา 3 ท่าน ที่มาร่วมร้อยกรองถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปหยกๆถัดมาอีก 1 วัน ซึ่งตรงกับ “วันภาษาไทยแห่งชาติ” (29 กรกฎาคม 2564) ก็มีการลงประกาศในหน้า 12 ไทยรัฐ โดยกระทรวงวัฒนธรรมยกย่องปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย และบุคคลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นต่างๆ รวม 21 ท่าน และลงภาพประกอบให้รู้จักหน้าตาครบถ้วนทุกท่านปรากฏว่า รายชื่ออันดับที่ 1 หรือชื่อแรกเลย ในฐานะ ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ได้แก่ รองศาสตราจารย์ นภาลัย สุวรรณธาดา หรือ นภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา 1 ใน 3 กวี ที่ผมเขียนถึงเมื่อวานนั่นเองทำให้ผมได้โอกาสที่จะเขียนถึงอาจารย์นภาลัยอีกครั้ง และจะเป็นการเขียนถึงท่านคนเดียวด้วย น่าจะมีเนื้อที่พอสำหรับการลงบทกลอน “อมตะ” ที่ท่านแต่งไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2510 นับถึงบัดนี้ 54 ปีโดยประมาณเข้าไปแล้ว...กลอนของท่านก็ยังฮิตและมีผู้หยิบยกมากล่าวถึงอยู่เสมอๆเรามาอ่านบทกลอนอมตะชื่อ “เพลงชาติ” ของท่านกันเลยดีกว่า...ขออนุญาตคัดลอกมาลงแบบเต็มๆ โดยไม่ตัดทอน ดังต่อไปนี้“ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพลิ้วแลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวงผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนักเราแสนรักและแสนจะแหนหวงแผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวงชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยีเธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือพลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรีเพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรีแม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจแต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือคือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทยบ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรงทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วงแต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหงถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเองจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”กลอนบทนี้อาจารย์นภาลัยแต่งและได้รับรางวัลชนะเลิศจากสถานีวิทยุแห่งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2510ผมเดาว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหลังวันเสียงปืนแตก(สิงหาคม 2508) ไม่นานนัก ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สงครามกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีการต่อสู้กันตามพื้นที่สีแดงต่างๆในทุกๆภาคของประเทศไทย กลอน ของเธอจึงฮิตมาก เพราะเข้ากับเหตุการณ์ในยุคดังกล่าวแต่หลังจากความขัดแย้งซึ่งค่อนข้างใหญ่หลวงครั้งนั้นแล้ว เราก็หันมาจับมือกันพัฒนาประเทศในยุคป๋าเปรมมาได้พักหนึ่ง หลังจากป๋า ออกคำสั่งสำนักนายกฯ 66/23 ใช้การเมืองนำหน้าการทหารต่อมาก็ขัดแย้งกันอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ในทางหนึ่งผมก็ดีใจกับเพื่อนที่กลอนของเพื่อนยังฮิตอยู่ถึงบัดนี้แม้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง บิ๊กตู่ก็ยังเอามาอ่านให้สภาผู้แทนฯฟังในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ทำให้บทกลอนนี้กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งแต่อีกทางหนึ่งก็ใจหาย...สงสารประเทศไทย...เพราะดูเหมือนว่า กลอนบทนี้น่าจะฮิตไปอีกหลายสิบปี หรือหลายร้อยปีเสียก็ไม่รู้ตราบเท่าที่คนไทยเราจะยังทะเลาะกันเรื่อยไปโดยไม่สิ้นสุด...เลิกทะเลาะคราวนี้ได้ก็อาจจะมีเรื่องมาให้ทะเลาะกันอีกในอนาคต... พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าเลยครับ...ว่า เราคงได้ยินวรรคทอง “จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง” ไปอีกนานแสนนาน.“ซูม”