สถานการณ์บ้านเมืองใน เมียนมา กับ ประเทศไทย ที่บางกรณีก็เหมือนกันบางกรณีก็ต่างกัน แต่มีการนำไปเปรียบเทียบใน สื่อโซเชียลมีเดีย ระหว่าง การต่อสู้ของชาวเมียนมา เพื่อต่อต้าน รัฐบาลทหารเมียนมา ยอมสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างไทย เป็นคำพูดที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดเราเรียกร้องประชาธิปไตยเราต่อสู้กับระบอบเผด็จการทหารมาไม่รู้กี่ครั้ง ประชาชนต้องเสียเลือดเสียเนื้อไม่รู้เท่าไหร่ แต่เราก็ไม่เคยชนะจริงๆแม้แต่ครั้งเดียวเพราะ เรามีกันชน ที่เป็นประชาชนที่เห็นต่าง และเรามี ไอโอ คอยทำหน้าที่แก้ต่างแทนกองทัพเราจึงอยู่อย่างไทยความเป็นอิสระของสื่อมวลชน คือการเผยแพร่สื่อและเสพสื่อในโลกออนไลน์ เป็นคำตอบว่า ทำไมสื่อหลักถึงค่อยๆเสื่อมถอยไปทีละน้อย การทำหน้าที่ ฐานันดรที่ 4 ถูกกลืนไปโดย ระบบอุปถัมภ์ค้ำชู สื่อกลายเป็นธุรกิจที่ต้องการความอยู่รอด เมื่อไม่มีสื่อมวลชนอีกต่อไปประชาชนก็ต้องเป็นสื่อเองนักการเมือง ที่ ชาวบ้านเลือกขึ้นมาก็หาทำยาได้ยาก อ้างประชาชนแต่ไม่เคยอยู่ข้างประชาชนจริงๆ อ้างผลงาน แต่เป็นผลงานที่เอารัดเอาเปรียบและได้ประโยชน์จากเงินภาษีของประชาชนทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างกันไปทุกทีการปรับ ครม.แต่ละครั้งมักจะมีคำถามตามมาเสมอว่า เหมาะสมตรงไหน มีการต่อรองเก้าอี้กันฝุ่นตลบ เวลานี้คนไม่สนใจด้วยซ้ำว่า ใครจะมาเป็น รมต.ในรัฐบาลบ้าง เพราะมี รมต.ที่โลกลืมตั้งมากมายในรัฐบาลชุดนี้เพราะคนไทยเคยชินกับการอยู่อย่างไทย เคยชินกับระบบอุปถัมภ์ เลยไม่มีความกระหายแสง ไม่มีความกระตือรือร้นที่อยากจะเห็นความเป็นเสรีประชาธิปไตย ความเท่าเทียม เสมอภาค แต่คนเมียนมาไม่ใช่ ชีวิตที่กระหายสิทธิและเสรีภาพ ที่เพิ่งจะได้สัมผัสเป็นครั้งแรกจึงรู้รสชาติระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย เป็นอย่างดีการสิ้นชาติไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจการเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ ไม่ต่างจาก วัวสันหลังหวะมีแผลด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นคำตอบของคำว่าประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลาน ถอยหลังลงคลองการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญในวันที่ 11 มี.ค.นี้ ตามญัตติของ ส.ส.รัฐบาลและ ส.ว.หรือไม่ ถ้าขัดก็ตกไปการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในสภา ที่จะเปิดสภาสมัยวิสามัญขึ้นมาพิจารณาในวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ สมมติ เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็จบข่าว หรือถ้ายังสามารถพิจารณาต่อไปได้ ก็ต้องเจอด่านที่สอง คือเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.และ ส.ว. โดยเฉพาะ ส.ว. ที่จะต้องได้เสียงสนับสนุน 84 เสียงขึ้นไปเมื่อมี ส.ว.บางคนกล้าประกาศล่วงหน้าว่าพร้อมจะคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญคำถามจึงต้องไปตกอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างน้อยพรรคภูมิใจไทย ที่นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์จะยอมอยู่อย่างไทยต่อไปหรือไม่.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th