มาทางข่าว “ขุนคลัง” คนใหม่ แม้รัฐมนตรีคลังคนเก่า “ปรีดี ดาวฉาย” ที่ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็ยังมีคำถามถึงสาเหตุจริงๆ ว่าเพราะเหตุอะไร ด้านหนึ่งได้รับการยืนยันว่าเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพ แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพียงแต่ยอมรับว่าปัญหาสุขภาพเป็นประเด็นหนึ่ง แต่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้นแน่ก็ปล่อยให้อึมครึมกันต่อไปอีกหัวข้อก็คือแล้วใครจะเข้ามารับไม้ต่อคงตอบไม่ได้แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็คงจะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ทั้ง 2 คำถามนี้ล้วนมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก เนื่องจากรัฐมนตรีคลังมีความสำคัญต่อเรื่องเศรษฐกิจโดยตรงที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงอย่างแรกก็คือนายปรีดี เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งแค่ 20 กว่าวันก็ไปแล้วจึงเป็นคำถามที่ค้างคาใจหากนายกฯดึง “คนนอก” เข้ามาทำหน้าที่การไปทาบทามใครก็ตามย่อมต้องการคำตอบนี้ก่อนที่จะตัดสินใจรับหรือไม่รับเพราะถ้าเป็นว่าถูกแรงกดดันจากนักการเมืองแม้ต้องการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาแต่ถ้าตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นไม่มา...น่าจะทำให้ชีวิตดีกว่าเข้ามาเกลือกกลั้วด้วยล่าสุดมีข่าวทำนองว่าพรรคพลังประชารัฐได้มีความเคลื่อนไหวเพื่อเสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคด้วยการเสนอสูตรสำเร็จให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงานขยับมาเป็นรัฐมนตรีคลังควบรองนายกฯจากนั้นก็ให้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมโยกไปเป็นรัฐมนตรีพลังงานและให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ จาก รมช.คลัง ไปเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมเสริมส่งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ไปเป็น รมช.คลังแทน ทำให้มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่างอีก 1 ตำแหน่งก็ดัน ส.ส.ของพรรคเข้าไปเป็นรัฐมนตรีได้อีก 1 คนถ้าถามว่าสูตรนี้เป็นยังไงคำตอบก็คือง่ายดีไม่ต้องไปยุ่งยากทาบทามคนนอกและได้ใจคนในพรรคอีกด้วยแต่ถ้าถามสังคมคงไม่แฮปปี้ด้วยแน่!การตัดสินใจในเรื่องนี้ก็ต้องเป็นนายกฯ ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง สิ่งที่ต้องมองย้อนกลับไปก็คือหากต้องการให้นายสุพัฒนพงษ์เป็นรัฐมนตรีคลังก็ไม่จำเป็นต้องดึงนายปรีดีมาเป็นหรอกว่ากันตั้งแต่ครั้งนั้นก็จบเรื่องไปแล้ว...ทำไมนายกฯ จึงต้องให้นายสุพัฒนพงษ์ไปเป็นรัฐมนตรีพลังงานและควบรองนายกฯ นั่นแหละคือประเด็นที่สำคัญรู้ดีด้วยว่าคนในพรรคพลังประชารัฐต้องการสนับสนุนนายสุริยะ ซึ่งเจ้าตัวก็ปรารถนาให้เป็นไปอย่างนั้นหากนายกฯตัดสินใจดำเนินการตามสูตรพิเศษนี้ก็เท่ากับว่าความเป็นตัวตนและหลักคิดเดิมได้แปรเปลี่ยนไปอะไรก็ได้...ขอให้เป็นผู้นำประเทศต่อไปก็เอาแล้ว!“สายล่อฟ้า”