นับแต่ผลสรุป “อัยการสูงสุด” และ “ตำรวจ” ไม่ สั่งฟ้องคดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถหรูชนรถ จยย.ดาบตำรวจเสียชีวิต ที่เป็น “คดีอุบัติเหตุ” มีกระบวนการดำเนินคดีล่าช้ายาวนานที่สุดถึง 8 ปีและในความล่าช้านี้ทำให้บางข้อหา “หมดอายุความ” นำมาสู่การกล่าวหาตั้งข้อสงสัยในประเด็น “เกิดการวิ่งเต้น” เพื่อให้จำเลยหลุดพ้นข้อกล่าวหา จนไม่เกิดความเป็นธรรม หรือเอื้อประโยชน์ต่อจำเลยหรือไม่...กระทั่งเกิดปรากฏการณ์ทางสังคม “ประชาชน” ลุกฮือขึ้นมาเรียกร้อง ขอความเป็นธรรมให้ “ดาบตำรวจ” ทั้งยังมี “นักกฎหมาย” ออกมาทักท้วง ตั้งประเด็นข้อสงสัยต่อบทบาทองค์กรตำรวจ อัยการ และทนายความมีความเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ นิติวิทยาศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ ที่ออกมาให้มุมมองต่างกันในประเด็นคดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนา “การฟ้องคดีอาญาโดยรัฐกับการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน” เพื่อร่วมกันขบคิดประเด็นเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายอาญาต่างๆในกรณีอัยการสูงสุด มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีอาญาทุกข้อกล่าวหา และตำรวจไม่แย้งคำสั่งนี้มีผลให้คดีสิ้นสุดตามกระบวนการทางกฎหมาย ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุช่วงหนึ่งว่า ประเทศไทยมีอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวัน ในอัตราสูงอันดับต้นของโลกด้วยซ้ำ ในเรื่องคดีทายาทคนดังนี้ก็เป็นคดีอุบัติเหตุทั่วไป แต่มีความพิเศษ “ประชาชน” รู้สึกสะเทือนใจ “หลักกระบวนการคดี” มากกว่า “ตัวเนื้อคดี” ที่เป็นรถยนต์ชนรถ จยย.ปกติ อันเกิดจากความประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย มีเหตุจากผลของ “อัยการสูงสุด” มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเกิดขึ้นมา 8 ปี และตำรวจก็ไม่มีสั่งแย้งนั้นต่างเกิดข้อสงสัยในบทบาทขององค์กรกระบวนการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ ทนายความ มีผลกระทบถึงความมั่นคงในประเทศตามมา ในการเรียก “ความศรัทธา” กลับคืนมาต้องทำความจริงให้ปรากฏสู่สาธารณชนจนมีการตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งคณะรัฐบาล อัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาผู้แทนราษฎร เพื่อค้นหาความจริงสู่การแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความยุติธรรมต่อสังคมในประเด็น...“คำสั่งไม่ฟ้องทายาทคนดังนี้” มีความน่าสนใจต้องถูกหยิบยกมาพิจารณากัน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก...“กระบวนการล่าช้า” ในการทำคดีมีผลให้เกิดความ “อยุติธรรม” ที่ไม่ยุติธรรมต่อผู้ต้องหา ในเรื่องเกี่ยวกับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้พ้นตามข้อกล่าวหาช้าลงตามมา...อีกทั้งยัง “ไม่ยุติธรรมต่อผู้เสียหาย” ที่เกี่ยวกับกระบวนการเยียวยาชดใช้ความเสียหาย และ “ความไม่ยุติธรรมต่อภาครัฐ ภาคสังคม” โดยเฉพาะระยะเวลาในการดำเนินคดีเนิ่นนานเพียงใด ย่อมเสี่ยงต่อพยานหลักฐานสูญหายมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของพยานลดน้อยลงตามกาลเวลาไปด้วยในความล่าช้านี้ ที่เรียกกันว่า “ประวิงเวลา” ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการวิ่งเต้นคดีเกิดขึ้นได้อีกด้วย ดังนั้น “กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย” จึงได้บัญญัติรับรองไว้ว่าในการสอบสวนดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิด ต้องมีความรวดเร็ว และเป็นธรรมที่สุดตามปกติแล้ว...“อุบัติเหตุจราจรทางบก” เริ่มต้น “คดีในชั้นสอบสวน” มีพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสำนวนคดี พร้อมความเห็นฟ้อง เสนอต่อพนักงานอัยการ ในการตรวจพิจารณาสำนวนคดี 3 แนวทาง คือ สั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง และสั่งให้สอบเพิ่มเติม ส่วนใหญ่มีกรอบระเบียบปฏิบัติเสร็จสิ้นใน 2-3 เดือนแต่คดีทายาทคนดังนี้กลับใช้เวลาในชั้นสอบสวน 8 ปี ทำให้บางข้อกล่าวหาต้องขาดอายุความ เพราะมีการร้องขอความเป็นธรรม ตามระเบียบของ สนง.อัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 48 เขียนเป็นแนวทางปฏิบัติแบบกว้างๆ ทั้งไม่มีกรอบเวลา ไม่จำกัดการร้องขอความเป็นธรรมมีจุดประสงค์เพื่อ “อัยการ” จะสามารถให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย โดย เฉพาะผู้ต้องหาในคดีอาญา ที่ไม่ต้องการให้ “ผู้บริสุทธิ์” ต้องถูกฟ้องร้อง และตกเป็นผู้ถูกดำเนินคดี ส่งผลให้คดีนี้ใช้กระบวนการร้องขอความเป็นธรรมมาตลอด แต่ “มูลเหตุ” หรือ “จำนวนการร้อง” ก็ยังไม่ถูกเปิดเผยเป็นที่แน่ชัด ทำให้คดีเกิดความล่าช้ายาวนาน ประเด็นที่สอง...“อรรถคดี หรือเนื้อหาของคดี” ในชั้นสอบสวนมีความอิสระของการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะมีผลกระทบต่อชีวิต และเสรีภาพบุคคล ทำให้ “กฎหมาย” คุ้มครองผู้ต้องหามากกว่าคดีอื่น ด้วยการให้ “พนักงานอัยการ” ใช้ดุลพินิจกลั่นกรองถี่ถ้วน ลักษณะ “กึ่งตุลาการ” ที่มีอำนาจ “สั่งฟ้อง หรือไม่สั่งฟ้อง” ก็ได้ทว่า...คดีที่พยานหลักฐานสอดคล้องชัดเจนว่า “ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำความผิด” ก็คงไม่มีปัญหาในการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องคดี แต่หาก “คดีอาญา” ที่พยานหลักฐานไม่สอดคล้องกัน ในเรื่องนี้ “พนักงานสอบสวน” ต้องพิจารณาชั่งน้ำหลักพยานหลักฐานทั้งปวงก่อนลงความเห็น เพื่อเสนอต่อ “พนักงานอัยการ” พิจารณาสำนวนอีกครั้งประการต่อมา...“กลับคำสั่งไม่ฟ้องคดี” เท่าที่ทราบตามข่าวสื่อมวลชนคดีนี้เดิมมีคำสั่งฟ้องแล้ว แต่ต่อมาก็มีการเปลี่ยนกลับ “คำสั่งไม่ฟ้อง คดีภายหลัง” เบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในสำนวนสู่สาธารณชนชัดเจน แต่ผลของ “คำสั่งไม่ฟ้องคดีนี้” เท่ากับว่า “รัฐตัดสินใจ” ไม่ฟ้องดำเนินคดี “ผู้ต้องหา” แล้วต้องยอมรับว่า...“การฟ้องคดีอาญา” เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้ “รัฐ” ต้องเข้าไปช่วยผู้เสียหายในการยื่นฟ้องคดีต่อ “ศาล” แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายในการฟ้องคดีอาญาเองได้แม้ว่า “ผู้เสียหาย” จะใช้สิทธิ์ฟ้องคดีด้วยตัวเองในคดีนี้ก็อาจต้องเจออุปสรรคใหญ่ ที่ไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเองได้ภายหลัง “พนักงานอัยการ” มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเช่นเดิม เพราะคดีนี้มีความสำคัญ และมีความสลับซับซ้อนของพยานหลักฐานอยู่มากมาย ทำให้การฟ้องคดีเองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว...เรื่องน่าสนใจ...“ในการรื้อฟื้นคดีใหม่” ตาม ป.วิ.อาญา ม.147...เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้วห้ามสอบสวนบุคคลเรื่องเดียวกันอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ดังนั้น ในการสอบสวนใหม่นี้ได้ต้องมีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.พยานหลักฐานใหม่ 2.พยานหลักฐานสำคัญต่อคดี 3.พยานหลักฐานน่าจะลงโทษผู้ต้องหาได้ถ้าตีความ “มาตรา 147” เป็นเรื่องในกรณี “อัยการ” มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี และต้องมีเป็นพยานหลักฐานขึ้นมาใหม่ สามารถนำไปสู่การรื้อฟื้นคดีที่ต้องลงโทษผู้ต้องหาได้ ก็มิได้ให้คำนิยาม “พยานหลักฐานใหม่ชัดเจน” หากเทียบเคียง “พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526”ระบุนิยาม “พยานหลักฐานใหม่ครบถ้วนพอสมควร” ในกรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดในชั้นศาล ดังนั้น ในกฎหมาย 2 ฉบับนี้มีความหมายของเนื้อหาเรื่องไม่เหมือนกันนั่นหมายความว่า “พยานหลักฐานเดิม” ชั้นพนักงานสอบสวน ที่ไม่เคยถูกยกขึ้นมาในชั้นพนักงานอัยการ ก็อาจสามารถนำมาใช้เป็นเหตุให้เป็นหลักฐานใหม่ ในชั้นอัยการของการสอบสวนคดีขึ้นมาใหม่ได้ เพราะถือว่า “เป็นพยานหลักฐาน เกิดขึ้นคนละชั้น” ที่ไม่ได้เกิดในชั้นเดียวกัน อีกทั้งหลักฐานบางชนิดก็อาจใช้เป็นหลักฐานหลายข้อหาได้ด้วย ทั้งคดีแจ้งข้อหาแล้ว หรือคดียังไม่มีแจ้งข้อกล่าวหาเลย ในเงื่อนไขคดีไม่ขาดอายุความท้ายสุด...“กฎหมายเกี่ยวข้องกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา” ในระเบียบการดำเนินคดีอาญา ข้อ 54 ระบุแนวทางถ้าความปรากฏถึง “เหตุออกคำสั่ง ไม่ถูกต้อง” สามารถให้เพิกถอนคำสั่งนั้นได้ นั่นก็แปลว่า...ถ้าออกคำสั่งไม่ถูกต้อง เช่น แก้ไขคำสั่งไม่ถูกต้อง อันเกิดจากการใช้ดุลพินิจปราศจากความไม่เป็นอิสระ หรืออคติส่วนตัวสามารถเพิกถอนคำสั่งนั้น และพิจารณาออกคำสั่งใหม่ เพราะมีการระบุ “คำสั่งไม่ถูกต้อง” แต่ไม่ใช่ “คำสั่งที่ไม่ชอบ” ทำให้ในคำว่า “ไม่ถูกต้อง” ย่อมตีความได้หลายอย่าง เช่น พยานหลักฐานนำมาในสำนวนคดีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ หรือเห็นว่ายังมีพยานหลักฐานอื่นๆก็ได้แม้แต่ในความไม่ถูกต้องนี้อาจเกิดเนื่องจากพยานหลักฐานด้วยก็ได้ เช่น มีการทราบภายหลังพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพยานหลักฐานถูกค้นพบมาก่อนแล้ว แต่กลับไม่ถูกนำเข้ามาสู่การพิจารณาคดี ด้วยการปกปิดพยานหลักฐานโดยไม่สุจริต จึงเป็นเหตุในการออกคำสั่งไม่ถูกต้องหรือไม่เรื่องนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นโอกาส “หยิบยก” ในการพิจารณาพัฒนาปรับปรุง “ปิดช่องโหว่ จุดบกพร่อง” เพื่อให้การฟ้อง “คดีอาญา” โดย “รัฐ” เกิดการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง...