ฝูงชนประมาณร้อยคนที่บุกเข้าไปในกระทรวงการคลัง เพื่อทวงสิทธิ์ที่เชื่อว่าตนมี แต่ภาครัฐ ราชการอาจบอกปัดว่าไม่มี นั่นก็คือสิทธิ์ที่จะได้รับแจกเงินเยียวยาจากรัฐเดือนละ 5 พันบาท เป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บางคนร้องตะโกน บางคนร้องไห้ คล้ายกับจะประกาศให้โลกรู้ “ฉันหิว”ประเทศไทยมาถึงวันนี้ได้อย่างไร วันที่มีข่าวนัดกันฆ่าตัวตายยกครัว ครั้งละ 4-5 คน หรือคนเดียว เนื่องจากภาวะข้าวยากหมากแพง ก่อนที่โควิดจะบุกเข้ามา อาละวาดด้วยซ้ำ ส่วนการบุกกระทรวงการคลังเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อเรียน ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำไมพวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์ได้รับการเยียวยา ทั้งที่ได้รับผลกระทบรัฐบาลไม่มีแผนการหรือโครงการจะช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด แต่เมื่อมีปัญหาเข้ามาก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ เริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าจะเยียวยา 3 ล้านคน แต่เมื่อมีผู้ลงทะเบียนขอความช่วยเหลือล้นหลาม จึงเพิ่มขึ้นเป็น 9 ล้านคน แต่ต้องมีผู้ผิดหวังอย่างน้อย 15 ล้านคน ที่อาจเป็นคน 10 อาชีพที่ไม่เข้าเกณฑ์ทางการหลังจากที่โควิดทำท่าจะลุกลามใหญ่โต รัฐบาลตัดสินใจใช้ยาแรงเข้ายับยั้ง ทั้งด้วยประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศห้ามประชาชนออกนอกบ้านในเวลาที่กำหนด ทั้งยังสั่งปิดร้านอาหาร ศูนย์การค้า สถานบริการ และกิจการอื่นๆ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนหยุดนิ่ง กิจการท่องเที่ยวและโรงแรมต้องปิดตัวเอง ตกงานกันทั่วหน้าทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้คนตกงานประมาณ 7 ล้านคน ไม่มีงานทำและไม่มีรายได้มาเกือบเดือนแล้ว จึงต้องเดือดร้อนแสนสาหัส วงการธุรกิจเชื่อว่าถ้าโควิดยืดเยื้อต่อไปอีก 2–3 เดือน จำนวนคนว่างงานจะพุ่งขึ้นเป็น 10 ล้านคน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยคาดว่า ถ้าโควิดลากยาวไปอีก 6-12 เดือน คนจนจะพุ่งขึ้นเป็น 19 ล้านไม่ว่าจะเป็น 7 ล้าน 10 ล้าน หรือ 19 ล้านคน ถ้าต้องตกงานและกลายเป็นคนจน ล้วนแต่เป็นผลกระทบจากโควิด จึงสมควรได้รับการเยียวยาโดยถ้วนหน้า กระทรวงการคลังใช้เอไอ หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” เป็นเครื่องคัดกรองคุณสมบัติผู้รับการเยียวยา แต่พรรคก้าวไกลเสนอให้ผู้มีอำนาจ “ใช้หัวใจฟังเสียงประชาชน”ในพระพุทธศาสนามีสุภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า “ชิคัจฉา ปรมา โรคา” แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ในบางกรณีความหิว อาจจะเป็นโรคร้ายแรงกว่าโควิด ในภาวะวิกฤติร้ายแรงขณะนี้ หรือที่อาจตามมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ การคัดกรองเยียวยาหรือไม่เยียวยาใคร ควรใช้ “หัวใจ” ช่วยตัดสินเป็นการตัดสินระหว่าง “คนกับคน” ที่เข้าใจคน.