ผมเอาเรื่องกบจำศีลข้ามฤดูกาล ข้ามปี และหลายปี ของกบทะเลทราย ออสเตรเลีย (สำรวจชีวิตสัตว์โลกผู้น่าทึ่ง (รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ประเทศไทย) เล่าไปแล้วยังติดใจ เปิดหนังสืออ่านเรื่องกบต่อสัตว์เล็กๆทั้งหลาย มีวิธีหลบภัยเอาชีวิตรอดด้วย “ศิลปะของการอยู่นิ่ง” แล้วก็ยังไม่พอ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยกว่ามันต้องรู้จักการแสดง และการแสดงที่ยิ่งใหญ่ คือการเลียนแบบกบหัวหมวกเหล็กในเอกวาดอร์ มีปกตินิสัยอยู่บนพื้นดิน มันจึงวางตัวให้กลมกลืนกับพืชพันธุ์ในป่า แสดงท่าเลียนแบบได้เหมือน จนศัตรูไม่รู้การเลียนแบบหรือการแสดงที่ว่า เหมือนจริงสักแค่ไหนคำตอบ หาได้จากกบมีเขาแห่งบราซิล ใช้รูปร่างและลวดลายด่างดวงบนตัวของมัน แสร้งทำเป็นเศษใบไม้ในป่า ขนาดดูจากภาพถ่ายชัดๆ คนที่รู้อยู่ว่ากบก็ยังดูไม่ออกบรรดาสารพัดกบที่มนุษย์เรียนรู้ มีวิธี “หนีตาย” จากสัตว์ใหญ่ ตรงข้ามกับกบในนิทาน ที่เกิดจากจินตนาการมนุษย์กบตัวนี้ มีชีวิตเสรีเริงร่าอยู่ในสระ วัดพุทธศาสนาประเทศไทย ทุกเช้ามันจะโดดจากสระ ขึ้นไปหมอบอยู่ริมทางเดิน มันจึงเห็นพระเดินไปบิณฑบาตทุกวัน(กิร ดังได้สดับมา พระธรรมกิตติวงศ์ ทองดี สุรเตโช ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม พิมพ์)สายหน่อยกบเห็นพระกลับถึงวัด พร้อมข้าวเต็มบาตร กับข้าวและขนมเต็มย่าม มันก็คิดว่า “กบอย่างเรา กว่าจะหาแมลงกินได้สักตัวก็ยาก เป็นพระดีกว่า เดินชั่วโมงเดียวก็มีอาหารมากมาย”พระฉันเสร็จก็เอาเศษข้าวมาโปรยให้ไก่กิน กบก็คิดว่าไก่ไม่ต้องเดินไปไกล แค่ถึงเวลาพระก็เอาข้าวมาให้กิน เป็นไก่ดีกว่า สบายกว่าแต่พริบตาต่อมา หมาวัดตัวหนึ่งก็วิ่งมาไล่กัดฝูงไก่แตกกระเจิง กบเห็นก็รำพึง ไก่เป็นฮีโร่ได้สนุก เป็นไก่ดีกว่าแต่กบก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันที เมื่อมีเด็กวัดคนหนึ่ง เห็นหมาไล่ไก่ ก็คว้าท่อนไม้มาไล่ตีสั่งสอนหมา หมาร้องเอ๋งวิ่งหนีเตลิด“โธ่! นึกว่าหมาจะแน่ ที่แท้หมาก็แพ้เด็กวัด “กบคิด” นี่ขนาดเป็นเด็กยังเก่งขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะเก่งขนาดไหนถ้างั้นเราเป็นคนน่าจะดีกว่าเป็นอะไรหมด”กบเผลอคิดไกล มองไปอีกทีก็เห็นเด็กวัดวางท่อนไม้ นั่งหอบเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ ขณะนั้นก็มีแมลงวันฝูงย่อมๆ บินหึ่งๆมาตอมขา เด็กวัดปัดแมลงวันวุ่นวาย พักใหญ่สู้ไม่ไหวก็ลุกหนีกบเปลี่ยนความคิด แทนที่จะเป็นคน สู้กระทั่งแมลงวันก็ไม่ได้ เป็นแมลงวันดีกว่าเป็นแน่คิดเพลินๆ แมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านหน้า กบก็ตวัดลิ้นออกมา เอาแมลงวันเข้าปาก ด้วยความชำนาญ รสชาติแมลงวัน อาหารจานโปรด ทำให้กบได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุจุดจบของความอยาก“เป็นอะไร ก็ไม่สู้ เป็นกูเอง”นิทานเรื่องนี้มีคำสอนต่อท้าย ไม่ว่าอะไรล้วนมีดีและไม่ดีไม่มีอะไรดีอย่างเดียว หรือเสียอย่างเดียว หากยอมรับภาวะที่ตัวเองเป็นอยู่ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆก็ย่อมประจักษ์ว่าเป็นอะไรก็ไม่สู้เป็นตัวเราในสถานการณ์ชีวิตต้องสู้อยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรดีกว่าอ่านหนังสือหาความรู้ เอาใจให้รอดไปอีกวัน ใช้ศิลปะในการนิ่งเอาตัวรอดให้ได้เหมือนกบบราซิล อย่าฟุ้งซ่านเหมือนกบในนิทานให้ได้ ขอให้โชคดีทุกคน.กิเลน ประลองเชิง