หลังจากที่รัฐบาลประยุทธ์ 2 ประกาศอนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ถึง 3.1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง บรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก และดูแลค่าครองชีพของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีผู้เปรียบเทียบกับ “โครงการเงินผัน” ของรัฐบาล พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 48 ปีก่อน“เงินผัน” เป็นต้นกำเนิดของบรรดานโยบายประชานิยมในประเทศไทย เป็นนโยบายของพรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค นอกจากเงินผันแล้ว ยังมีนโยบายประกันราคาพืชผล ส่งเสริมสภาตำบลและคนจนรักษาฟรี เป็นต้น แต่ขณะนั้นรัฐบาลมีงบประมาณประจำปีเพียงไม่กี่แสนล้านบาท จึงผันได้ตำบลละไม่มากเป็นนโยบายประชานิยมยุคแรก ที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง และเป็นที่นิยมให้หมู่ประชาชนทั่วประเทศ ชัดเจนที่สุดคือผลการเลือกตั้งครั้งต่อมา พรรคกิจสังคมชนะเลือกตั้งท่วมท้น กลายเป็นพรรคที่มี ส.ส.มากที่สุด แต่เงินผันที่ชาวบ้านเรียกว่า “เงินคึกฤทธิ์” ไม่ใช่การแจกเงินธรรมดา แต่แฝงด้วยปรัชญาระบอบประชาธิปไตยนโยบายเงินผันมุ่งสร้างงานให้ประชาชนในชนบท ให้ชาวนาชาวไร่มีงานทำ และมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงว่างนา อีกทั้งมีเป้าหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประชุมหารือ ในการจัดทำโครงการหลังจากที่ได้รับเงินผัน จะสร้างถนน หรือจะสร้างอ่างเก็บน้ำ ชาวบ้านได้ทั้งเงินและสาธารณสมบัติตามปกติรัฐบาลจะจัดสรรงบพัฒนาต่างๆให้หมู่บ้าน หรือตำบลผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ แต่เงินผันส่งตรงไปยังประชาชนในตำบล ทำให้สภาตำบลที่มีกำนันเป็นประธานโดยตำแหน่ง แต่ไม่เคยมีงบประมาณของตัวเอง มีบทบาทสำคัญขึ้นมาทันที และวิวัฒนาการมาเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบล ประชาชนในระดับหมู่บ้านและตำบลมีส่วนในการปกครองตนเอง จัดทำโครงการต่างๆด้วยตนเอง เพราะสมาชิกสภาและนายก อบต.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่น่าเสียดาย ทุกครั้งที่มีรัฐประหารมักจะมีการลดบทบาทของ อบต.ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท.รวมถึง อบต.ถูกแช่แข็ง ไม่มีการเลือกตั้งมาหลายปี เพราะรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารมักจะไม่ชอบการเลือกตั้ง แต่นิยมการแต่งตั้งมากกว่า หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งระดับชาติแล้ว คนไทยทั่วประเทศกำลังรอคอย เมื่อไหร่จะเลือกตั้งท้องถิ่น.