การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่จบลงด้วยการมอบตัวของบรรดาแกนนำที่โดนหลายข้อหา เริ่มต้นด้วย 3 ข้อหา ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 5–6 ข้อหา คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเป็นการชุมนุมที่ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมอาจเห็นว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพื่อให้มีการสานต่อโดยกลุ่มพวกตนเอง หรือโดยกลุ่มอื่นๆต่อไปเมื่อตรวจดูข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อ จะเห็นได้ว่าเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ ที่รัฐบาลจะยินยอมตามข้อเรียกร้อง เช่น ข้อเรียกร้องให้รัฐบาล คสช. ลดสถานะเป็นแค่รัฐบาลรักษาการ หรือให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ลิดรอนเสรีภาพ แต่การชุมนุมทำให้หัวหน้า คสช. ต้องกล่าวย้ำอีกครั้ง จะมีการเลือกตั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นสัญญาที่จะต้องรักษาแต่ถ้าถามว่าเพราะเหตุใด กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจึงไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ คำตอบก็คือเพราะ “จุดไม่ติด” มีคนเข้าร่วมชุมนุมกดดันน้อยเกินไป ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่อยากเลือกตั้ง แต่เพราะว่ารัฐบาลสัญญาว่าจะจัดเลือกตั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งห่างจากเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เพียง 2–3 เดือนคนส่วนใหญ่อาจคิดว่าทนมาได้ถึง 4 ปีกว่า จะทนต่อไปอีกแค่ 2–3 เดือน คงจะไม่ถึงกับลงแดง เชื่อว่ายังมีคนกลุ่มพลังเงียบอีกไม่รู้กี่ล้าน ที่อยากเลือกตั้งเช่นเดียวกัน เห็นได้จากโพลต่างๆที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคือสวนดุสิตโพล เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว และหาทางป้องกันการโกงเลือกตั้งในอดีต ผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองด้วยความสมัครใจ โดยไม่มีสินจ้างรางวัลใดๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนชั้นกลางในเมือง ที่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง ประกอบกับสถานการณ์ที่สุกงอม ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีประชาชนนับแสนๆเข้าร่วมต่อสู้กับนักศึกษา เนื่องจากประเทศไทยตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการนานกว่า 10 ปีเป็นสิบกว่าปีที่การเมืองตกอยู่ในยุคมืด แม้ในบางช่วงเวลาจะผ่อนผันให้มีรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้ง แต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ จากนั้นรัฐบาลรัฐประหารก็ยึดอำนาจตัวเอง กลับคืนสู่เผด็จการเต็มใบ เมื่อมีคณะนักศึกษาจุดประเด็นขึ้น ด้วยการเดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และถูกปิดปากด้วยการจับกุมคุมขัง จึงมีประชาชนลุกฮือทั่วประเทศเช่นเดียวกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็เกิดขึ้นในช่วงที่กระแสประชาธิปไตยมาแรง หลังจากที่บ้านเมืองหลุดพ้นจากยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ และได้มาซึ่งรัฐบาลเลือกตั้งไม่นานก็มีรัฐประหารอีก และพยายามสืบทอดอำนาจ กลุ่มคนชั้นกลางที่สื่อเรียกว่า “ม็อบมือถือ” จึงหลั่งไหลออกมาต่อต้าน เหตุการณ์ต่างๆผ่านมาหลายทศวรรษ แต่การเมืองไทยก็ยังย่ำอยู่กับที่.