สายเมาได้เฮเมื่อ “คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ” มีมติปลดล็อกเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วง 14.00–17.00 น. และเปิดทางให้สถานบันเทิงนั่งดื่มหลังเที่ยงคืน 1 ชม.แต่จำกัดการขายเครื่องดื่ม 24.00 น. ดังเดิม เพื่อหวังสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการกระตุ้นเศรษฐกิจทว่ามาตรการนี้ทดลองเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สังคม ก่อนพิจารณาจะขยายมาตรการต่อหรือไม่ สร้างความกังวลใจให้ภาคสังคมที่อาจทำให้คนเมาเพิ่มขึ้นบนท้องถนน ส่งผลให้สังคมเผชิญความเสี่ยงมากกว่าเดิม เพราะแม้ยังไม่ปลดล็อกก็ตามแต่สถิติอุบัติเหตุจากการดื่มยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังเที่ยงคืนซึ่งเป็นช่วงพีกของการเกิดอุบัติเหตุรถชนรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หากเปิดให้นั่งดื่มได้ยาวขึ้นถึงตี 1 “ก็อาจเพิ่มโอกาสให้เกิดเหตุบนท้องถนน” ถ้าหากไม่มีระบบรองรับในด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่าเรื่องนี้ส่วนตัวมองไว้ 2 ประเด็นที่ควรทำให้ชัดเจน คือ เรื่องแรก...“การปลดล็อกเวลาห้ามขาย” แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการปลดล็อกแล้วปัญหาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ แต่ภาครัฐก็ควรประเมินผลหลังทดลองนโยบายแล้ว 6 เดือน โดยให้ตำรวจ และกระทรวงสาธารณสุข เก็บข้อมูลปัญหาเพิ่มขึ้น หรือลดลงไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รายได้ธุรกิจหรืออุบัติเหตุ “เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ” เพื่อตรวจสอบว่าการปลดล็อกแล้วไม่ก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะถ้าย้อนดูข้อมูลของกรมควบคุมโรค 5 ปี พบว่า สถิติคนดื่มเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 5.6 หมื่นคน หรือวันละ 150 คน และชั่วโมงละ 7 คนแต่ในช่วงบ่าย “มักเกิดอุบัติเหตุจากการดื่มน้อย” เพียงแต่สิ่งที่น่ากังวลคือในตอนกลางคืนหลังเที่ยงคืนเป็นช่วงพีกของรถชนรุนแรง ดังนั้นการขยายเวลานั่งดื่มสุรายาวถึงตี 1 อาจเป็นจุดเสี่ยงที่ควรจับตามากกว่าเช่นนี้เรื่องที่สอง...“การอนุญาตให้ลูกค้านั่งในร้านต่อถึงตี 1” ถ้าเปรียบเทียบในหลายประเทศมักมีกติกาเกี่ยวกับช่วงการขายสุราที่เรียกว่า “last call หรือเวลารับออเดอร์แก้วสุดท้าย” หลังจากนั้นจะไม่ขายเพิ่มอีกอย่างกรณีสหรัฐฯหลายรัฐกำหนดให้ตี 2 และแคนาดา หรือประเทศในยุโรปจะกำหนดเร็วมากถึงขั้นไม่เกิน 5 ทุ่มก็มีเมื่อมีกติกา last call ชัดเจนสังคมก็จะสร้างการรับรู้ว่า “แก้วสุดท้ายจะไม่สามารถสั่งเพิ่มได้” แล้วช่วงเวลาการบริโภคจะได้อีก 20-40 นาที ซึ่งเป็นกติกาที่ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ดังนั้นหากประเทศไทยจะปรับกติกาใหม่ “ควรกำหนด last call เท่ากับเวลาเที่ยงคืน” แล้วจากนั้นถึงตี 1 ก็กำหนดเป็นช่วงเวลาบริโภคต้องหยุดรับออเดอร์ทันทีเพราะที่ผ่านมากฎเกณฑ์หลายเรื่อง “มักถูกเขียนเป็นข้อแนะนำมากกว่าเป็นกฎหมาย” ส่งผลให้ร้านค้าเลือกปฏิบัติตามดุลพินิจทำให้ขายเกินเวลาไม่ถือว่าผิดกฎหมายฉะนั้นจำเป็นต้องเขียนให้มีบทลงโทษลงไปด้วย ถัดมาหากมาดู “พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551” โดยเฉพาะ ม.29 (2) ห้ามขายสุราให้คนมึนเมาจนครองสติไม่ได้ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีเกณฑ์ประเมินลูกค้าครองสติไม่ได้ “ทำให้ร้านค้าไม่รู้วิธีวัดกลายเป็นสุญญากาศการบังคับใช้” เช่นนี้ภายใน 100 วัน หลังใช้กฎหมายใหม่ “กรมควบคุมโรค” ต้องออกหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน“ในรอบนี้ควรกำหนดการครองสติไม่ได้ต้องวัดด้วยเกณฑ์ใด เช่น ใช้ระดับแอลกอฮอล์เป็นตัวชี้วัดหรือไม่ เพราะเครื่องเป่าปัจจุบันไม่ถือเป็นเครื่องมือแพทย์แล้ว ราคาก็ถูกลงสามารถหาซื้อได้ง่าย จึงควรกำหนดระดับแอลกอฮอล์ที่ควรห้ามขายให้ชัดเพื่อให้ร้านเหล้าใช้คัดกรองลูกค้าเมามากหรือไม่พร้อมกลับบ้านได้” นพ.ธนะพงศ์ ว่าอีกประการหากมองในเชิง “การป้องกัน” ในปัจจุบันประเทศไทยมีบริการช่วยกลับบ้านอย่าง Grab, รถสาธารณะ หรือ U drink I drive แต่คนเมายังใช้บริการไม่มาก เพราะราคาค่อนข้างแพงเรียกครั้งหนึ่งเป็นพันบาท จึงควรหาวิธีให้การส่งผู้ดื่มกลับบ้านแบบเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยสถานบันเทิงอาจทำเป็นแพ็กเกจในความปลอดภัยก็ได้อย่างเช่นร้านมีแพ็กเกจซื้อเครื่องดื่ม 1 ชุดอาจรวมบริการเรียก Grab หรือ U Drink I Drive ทำให้ค่าบริการกลับบ้านถูกลง “ลูกค้าก็รู้สึกว่าร้านใส่ใจความปลอดภัย” ทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับได้ด้วย นอกจากนี้ “เรื่องด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์” ก็ควรมีมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายจริงๆ เพราะมีกรณีตัวอย่างการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 พื้นที่นำร่อง พบว่า ตำรวจตั้งด่านตรวจยาวถึงตี 5 เพื่อคัดกรองคนเมาออกจากร้าน และหลังตั้งด่านก็ต้องไปทำงานอำนวยการจราจรให้คนไปโรงเรียน หรือคนไปตลาดตอนเช้าต่อทำให้ก่อเกิดภาระงานทับซ้อนกัน “ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ” จึงเกิดคำถามว่าหากมีการส่งเสริมการดื่ม “ภาครัฐ” จะมีกำลังพลและระบบบังคับใช้กฎหมายเพียงพอรองรับหรือไม่ เพราะแม้แต่การนำร่องเปิดถึงตี 4 ก็ยังไม่มีตัวเลขด้านผลกระทบ หรือผลดีต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวจริงออกมาเลยดังนั้นภาครัฐต้องสร้างความมั่นใจให้สังคม โดยสนับสนุนตำรวจตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับครอบคลุมพื้นที่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากคนเมาบนท้องถนนเพิ่มขึ้นเพราะการที่ให้ตำรวจทำหลายหน้าที่พร้อมกันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆแล้ว “การยกเลิกเวลาห้ามขายสุราเป็นนโยบาย” ต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกกฎหมายลูก คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนปีใหม่ โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพออกหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพกำกับการขายในสถานบันเทิงตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509ถ้าโยงไปช่วงปีใหม่ 2569 “การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องขออนุญาตนายอำเภอ” แต่การขอก็มักไม่เข้มงวดในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการดื่มแล้วขับ เพราะกฎหมายยังไม่โยงความรับผิดชอบเจ้าของงานโดยตรง ทั้งที่สามารถใส่เงื่อนไขใน TOR ขณะออกใบอนุญาตให้ผู้จัดงานรื่นเริงต้องกำกับไม่ให้ผู้ร่วมงานเมาแล้วขับได้อีกช่องโหว่คือ “การพิสูจน์ดื่มเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ” อย่างปีใหม่ 2568 มีเด็กเมาแล้วขับบาดเจ็บ 640 คน ตำรวจไม่อาจโยงความรับผิดชอบไปยังผู้จัดงาน ผู้ปกครองหรือผู้ให้เด็กดื่ม เพราะมีแค่กลิ่นเหล้าไม่ใช่ผลตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดอันเป็นช่องว่างทางกฎหมายจากแพทย์จะเจาะเลือดเด็กได้ต่อเมื่อมีคำร้องจากพนักงานสอบสวนเพราะหากเจาะเองเสี่ยงถูกฟ้องละเมิดสิทธิ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต “แพทย์จึงกลัวการตรวจเองจนทำให้หลักฐานไม่ชัด” จึงมีข้อเสนอภาครัฐควรกำหนดขั้นตอนตรวจแอลกอฮอล์เด็กบาดเจ็บมีกลิ่นเหล้าให้ชัดเจนฉะนั้นการปลดล็อกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ “ต้องอาศัยกลไกป้องกันความเสี่ยงอย่างเข้มงวดด้วย” เพื่อให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ได้แลกมาด้วยความสูญเสียบนท้องถนน...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม