กัมพูชาเปิดฉากถล่มไทยระลอกใหญ่แต่เช้ามืด ระดมซัดไทยพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งผลทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย เจ็บรวม 8 นาย ตามด้วยยิงจรวด BM-21 ใส่บ้าน ปชช. ใน อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ก่อนที่ไทยเปิดฉาก ตอบโต้หลักสากลเพื่อปกป้องอธิปไตย จัดหนักส่ง F-16 หย่อน บึมฐานที่ตั้งทางทหารเขมร ตลอดแนวชายแดนพื้นที่ อีสานใต้ ทั้งช่องอานม้า ช่องบก ปราสาทคนา ปราสาท ตาควาย ปราสาทตาเมือนธม เร่งทำลายฐานยิงอาวุธไกล ถล่มตึกกาสิโนที่ตั้งกองบัญชาการโดรน ส่งผลเกิดการ ปะทะดุเดือดตลอดวัน และขยายวงสู้รบไป จ.สระแก้ว ทั้งบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว-ตาพระยา ขณะที่ “อนุทิน” ลั่น ไม่มีการเจรจาอีกแล้ว ขอประชาชนเชื่อมั่นกองทัพ ด้าน 5 จังหวัดชายแดน อพยพคนออกจากพื้นที่เสี่ยงเข้าที่ปลอดภัยจ้าละหวั่นในที่สุดกัมพูชาก็เปิดฉากระดมยิงปืนใส่ทหารไทยตามฐานแนวชายแดน ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ รวมถึงยิงจรวด BM-21 ถล่มเข้ามาในไทยเป็นครั้งที่สองของปีนี้ เป้าหมายยังเป็นพื้นที่พลเรือนเหมือนเดิมเขมรเปิดฉากยิงไทยแต่เช้ามืดทั้งนี้ เมื่อเวลา 06.50 น. วันที่ 8 ธ.ค. มีรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ว่า ทหารกัมพูชาได้เปิดฉาก ยิงถล่มทหารไทยที่ห้วยตามาเลีย (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) โดยฝ่ายไทยยิงตอบโต้ตามกฎการปะทะสากล ในพื้นที่ยังมีการยิงตอบโต้ต่อเนื่อง กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยไทยมิให้ใครมารุกราน พร้อมเปิดไทม์ไลน์ทหารเขมรรุกหนักยิงฝ่ายไทยต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ ดังนี้ เวลา 05.05 น. พื้นที่ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) ทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยาวยิงเข้าใส่ฝ่ายไทยในพื้นที่ตำรวจตระเวนชายแดน 793 (ตชด.793) เวลา 05.11 น. พื้นที่ช่องอานม้าแดนไกล ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กยาวเพิ่มอีก 3 นัด เวลา 05.21 น. ที่ฐานรากหญ้า เจ้าหน้าที่ทหารไทยตรวจพบโดรน 2 ลำ จากฐานแดนไกล เวลา 05.23 น.พื้นที่ตลาดช่องอานม้า ทหารกัมพูชายิงปืนกล 1 ชุดใส่ฝ่ายไทย เวลา 05.24 น. ฐานปฏิบัติการเจนศึกทำการยิงตอบโต้ป้องกันตัวตามหลักสากล ด้วยปืนกลจำนวน 1 ชุด ใส่ตลาดช่องอานม้า เวลา 05.30 น. ฐานแดนไกลตะวันออกทหารกัมพูชา ทำการยิงปืนกลใส่ฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่องทหารไทยยิงตอบโต้ป้องกันตัวเวลา 05.36 น. ฝ่ายไทยทำการยิงป้องกันตัวตอบโต้ไปแล้ว แต่ไม่มีการยิงตอบโต้กลับ เวลา 05.57 น. ฐานรากหญ้า ตรวจพบทหารกัมพูชา จำนวน 50 คน เดินเท้าจากกาสิโนขึ้นเนิน 677 เวลา 06.00 น. พื้นที่ห้วยบอน ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กใส่ฝ่ายไทย 5 นัด เวลา 06.07 น. พื้นที่ฐานต้นมะนาว และฐานห้วยบอน ทหารกัมพูชายิงปืน ค.ใส่ฝ่ายไทย พื้นที่ละ 1 นัด รวม 2 นัด เวลา 06.11 น. มีกระสุน ค. ตกบริเวณบ่อดินหลังตลาดไทย จำนวน 1 นัด เวลา 06.17 น. ฐานเจนศึกตอบโต้ ฝ่ายทหารกัมพูชา ด้วย ค.60 ตามสัดส่วนหลักสากล และเวลา 06.23 น.มีกระสุน ค.ตกที่มั่น 3 ฐานริมผาส่งบินรบถล่มที่ตั้งอาวุธเขมรต่อมาเฟซบุ๊กเพจของกองทัพบก และที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ ทั้งกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ได้ทยอยเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าการสู้รบและการอพยพประชาชน โดย กกล.บูรพา แจ้งอพยพประชาชนชายแดน จ.สระแก้ว ออกจากพื้นที่ ณ เวลา 07.00 น. เมื่อทหารไทยใช้อากาศยานถล่มที่ตั้งยิงอาวุธกัมพูชา หลังมีการใช้อาวุธปืนใหญ่-เครื่องยิงลูกระเบิด ถล่มฐานอนุพงศ์ (ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) ทำทหารไทยดับ 1 (จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต) เจ็บ 2 โดย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าฝ่ายไทยเริ่มมีการใช้อากาศยานกระทำต่อเป้าหมาย 3 พื้นที่เบื้องต้น ได้แก่ 1.ช่องอานม้า 2.ปราสาทคนา 3.เสาวิทยุ พื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร เนื่องจากเป็นที่ตั้งยิงอาวุธสนับสนุนของฝ่ายทหารกัมพูชา และพื้นที่เป้าหมายเหล่านั้นได้ มีการใช้อาวุธปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดกระทำต่อฝ่ายไทย ที่ฐานอนุพงศ์ เป็นเหตุให้มีกำลังพลเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย ปัจจุบันฝ่ายไทยเริ่มใช้อากาศยานเข้าโจมตีต่อเป้าหมายทางทหารในหลายพื้นที่ เพื่อยับยั้งการโจมตีของอาวุธยิงสนับสนุนของทหารกัมพูชาเขมรยิงจรวด BM–21 ใส่บ้านกรวดจากนั้น เวลา 08.30 น. เฟซบุ๊กเพจกองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า กัมพูชายิงด้วย BM-21 ลงพื้นที่บ้านเรือนประชาชนฝั่งไทย บ้านสายโท 10 อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย กองทัพจะปกป้องประชาชนและอธิปไตยเต็มกำลัง กองทัพภาคที่ 2 ขอแจ้งเตือนหน่วยที่เกี่ยวข้อง ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย อาคารสถานที่ราชการที่สำคัญและป้องกัน ขัดขวาง การปฏิบัติของฝ่ายตรงข้าม ที่มุ่งสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สิน กองทัพจะปกป้องประชาชนและอธิปไตยเต็มกำลัง จากนั้น ทภ.2 แจ้งเพิ่มเติมว่ามีการปะทะตลอดแนวช่องอานม้า เนิน 677 ห้วยตามาเรีย พื้นที่คนา ปราสาทตาเมือนธม ขอส่งใจให้ทหารไทยที่ปกป้องอธิปไตยทุกนายไทยถล่ม “กระเช้าเนิน 350” ราบต่อมา ทภ. 2 แจ้งเพิ่มเติมอีกครั้งว่า ด่วน “กระเช้าเนิน 350” ถูกทำลายแล้ว เมื่อ 8 ธ.ค.เวลา 09.20 น. เป้าหมายกระเช้าเนิน 350 ทางด้านทิศตะวันตกปราสาทตาควาย ระยะ 300 เมตร ถูกทำลายเรียบร้อย กองทัพจะปกป้องประชาชนและอธิปไตยเต็มกำลังจรวดเขมรตกพื้นที่เก็บทุ่นระเบิดพ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อเวลา 08.30 น. กระสุน BM-21 จากฝั่งกัมพูชา เข้ามาลงบริเวณพื้นที่บ้านเรือนประชาชนไทย บ้านสายโท 10 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย เป็นที่สังเกตว่าพื้นที่บ้านสายโท 10 ใต้ ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เป็นหนึ่งในพื้นที่ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) โดยหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 จัดชุดปฏิบัติงานใน 2 sector ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.ถึงปัจจุบัน และมีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดย sector ที่ 1 ได้พื้นที่ปลอดภัย จำนวนทั้งสิ้นกว่า 120,000 ตารางเมตร และ sector ที่ 2 ได้พื้นที่ปลอดภัยทั้งสิ้นกว่า 108,000 ตารางเมตร แต่ยังคงเหลือพื้นที่ต้องสงสัยที่ต้องดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อไปเร่งส่ง 2 ทหารเจ็บมา รพ.ทหารต่อมามีรายงานว่าเมื่อเวลา 09.45 น. กำลังพลทหาร 2 ใน 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกกัมพูชาโจมตีที่พื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ถูกลำเลียงโดยเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 จากอำเภอน้ำยืน ไปถึงโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี โดยมีรถพยาบาลและแพทย์เสนารักษ์ มาคอยรับตัวที่สนามบินมณฑลทหารบกที่ 22 ก่อนส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินในทันทีชาวบ้านหนีรถติดยาวกว่า 2 กม.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 07.00 น.เป็นต้นมา ใน 4 จังหวัดที่มีการประกาศให้อพยพประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ก็เริ่มโกลาหลเมื่อประชาชนต่างเก็บสิ่งของสำคัญเดินทางเข้าสู่ศูนย์อพยพ ในจุดที่แต่ละจังหวัดจัดไว้ โดย จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านในพื้นที่ตามแนวชายแดนรวมถึงอำเภอใกล้เคียง ต่างพากันขนสัมภาระขึ้นรถ และเร่งเดินทางเข้าสู่เขตปลอดภัย ทำให้เส้นทางจากแนวชายแดนมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองบุรีรัมย์หลายสายมีปริมาณรถหนาแน่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเขต อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เป็นเส้นทางมุ่งหน้าสู่พื้นที่ชั้นใน พบว่าการจราจรติดสะสมยาวกว่า 2 กิโลเมตร รถเคลื่อนตัวได้ช้าเป็นช่วงๆ ตำรวจ สภ.ประโคนชัย ต้องเร่งอำนวยความสะดวก พร้อมเปิดช่องทางพิเศษ และจัดเจ้าหน้าที่โบกรถเพื่อเร่งระบายการจราจรอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำซ้อนบนท้องถนน คาดว่าตลอดทั้งวันน่าจะมีประชาชนทยอยอพยพเดินทางอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังคงได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ จากนั้นตลอดวัน บรรยากาศโดยรวมของ อ.บ้านกรวด เงียบเหงา ห้างร้านต่างๆ ตลาดสด ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน โรงพยาบาลและสถานที่ราชการ และสถานประกอบการต่างๆ เงียบแทบร้างผู้คนยันไม่มีจรวด BM–21 ลงบ้านคนทั้งนี้จากที่ ทภ.2 ระบุกรณีกัมพูชายิงด้วย BM-21 ลงพื้นที่บ้านเรือนประชาชนฝั่งไทย บ้านสายโท 10 ใต้ หมู่ 2 ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ได้รับรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย แต่ก็ทำให้ประชาชนที่ยังตกค้างอยู่ตามบ้านเรือนอีกหลายครัวเรือนต่างอพยพออกจากพื้นที่สีแดงอย่างต่อเนื่อง นายวุฒิไกร ฉิมงาม ผู้ใหญ่บ้าน บ้านสายโท 10 ใต้ หมู่ 2 ต.สายตะกู เปิดเผยว่า ยังไม่มีจรวด BM-21 ตกใส่บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่แต่อย่างใด ยอมรับว่าสถานการณ์ตึงเครียดเร่งอพยพผู้ป่วยออกจาก รพ.อย่างไรก็ตาม ตลอดคืนวันที่ 7 ธ.ค.ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 8 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออาสาหน่วยกู้ภัยจากหลายแห่ง อาทิ อาสาหน่วยกู้ภัยสว่างจรรยาธรรม หน่วยกู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ วิ่งรถรับผู้ป่วยติดเตียงตามคำร้องขอทั้งผู้ป่วยอยู่ตามบ้านเรือนและผู้ป่วยของโรงพยาบาลบ้านกรวด ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด ออกจากพื้นที่เป็นการเร่งด่วน อพยพไปรักษาตัวตามอำเภอต่างๆที่ปลอดภัยตายคาศูนย์พักพิง 2 รายนอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่ามีผู้เสียชีวิตในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่สนามแข่งรถช้าง เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว (โรคหัวใจ) 1 ราย ชื่อนายประหยัดปาลี อายุ 55 ปี บ้านเลขที่ 47 หมู่ 4 ต.ปราสาท อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลังจากอพยพเข้ามาได้เพียงข้ามคืน เช่นเดียวกับที่วัดป่าอัมพวัน ต.หนองกง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ศูนย์พักพิงชั่วคราวอีกแห่งหนึ่งจาก 16 แห่งใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พระอาจารย์เลอศักดิ์ เจ้าอาวาสฯ เปิดเผยว่า ที่นี่มีผู้ป่วยติดเตียงมาแล้วกว่า 20 ราย และเกิดเรื่องเศร้าขึ้นเมื่อนายสนั่น จันทร์ดิษฐ์ อายุ 64 ปี ชาวบ้านหมู่ 11 ต.หนองแวง อ.ละหานทราย ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยโรคประจำตัว (มะเร็ง) สร้างความเศร้าใจให้กับญาติที่เดินทางมาด้วยเป็นอย่างมาก เพราะยังไม่มีที่ฌาปนกิจ และเป็นศพที่ 2 ที่เสียชีวิตในศูนย์พักพิงชั่วคราว ด้านนายโชคชัย สว่างรัตน์ นายอำเภอนางรอง กล่าวว่า ตอนนี้เปิดรับผู้อพยพแล้ว 16 จุด ส่วนใหญ่ชาวบ้านไม่ค่อยตื่นตระหนกมากกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะเริ่มชินกันทรลักษ์อพยพคน 12 ตำบลเสี่ยงด้านนายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต ผวจ.ศรีสะเกษ สั่งการให้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่สีแดงและสีเหลือง โดยนายอำเภอกันทรลักษ์แจ้งอพยพชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนโซนสีแดง 7 ตำบล ได้แก่ ต.เสาธงชัย ต.รุง ต.ละลาย ต.ภูผาหมอก ต.ชำ ต.บึงมะลู และต.โนนสำราญ และพื้นที่โซนสีเหลือง 5 ตำบล ได้แก่ ต.เมือง ต.ทุ่งใหญ่ ต.เวียงเหนือ ต.ขนุนและ ต.สังเม็ก เฉพาะหมู่ 4 และหมู่ 20 ส่วน อ.ขุนหาญ และ อ.ภูสิงห์ ยังรอสัญญาณจากกองทัพภาคที่ 2อพยพนักโทษคุกกันทรลักษ์นอกจากนี้ มีรายงานจากกรมราชทัณฑ์ว่าเรือนจำอำเภอกันทรลักษ์ได้ย้ายผู้ต้องขังออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ โดยนายณภัทร หลักคำ ผบ.เรือนจำอำเภอกันทรลักษ์ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำอพยพผู้ต้องขังทั้งสิ้น 92 คน เป็นผู้ต้องขังหญิง 6 คน และผู้กักขังชาย 4 คน ย้ายไปคุมขังชั่วคราวที่เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนที่เหลืออีก 82 คน ย้ายไปคุมขังชั่วคราวที่เรือนจำอำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งการย้ายผู้ต้องขังเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.สระแก้วอพยพด่วนคน 4 อำเภอด้าน จ.สระแก้ว สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทวีความตึงเครียดอย่างรวดเร็ว หลังมีรายงานยืนยันว่าเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดน จ.บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ทำให้ทหารไทยเสียชีวิตหลายนาย ส่งผลให้หน่วยงานความมั่นคงประกาศยกระดับการเตือนภัยสาธารณะขึ้นเป็นขั้นรุนแรง พร้อมสั่งอพยพประชาชนในเขตเสี่ยงโดยทันที ครอบคลุม 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ อำเภอตาพระยา อำเภอโคกสูง อำเภออรัญประเทศ และอำเภอคลองหาด การอพยพประชาชนเร่งด่วนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จังหวัดจัดเตรียมไว้ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 165 ตารางกิโลเมตร ทำให้พื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นชายแดนที่สุด ชาวบ้านส่วนใหญ่ทยอยออกจากพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด หลังมีเจ้าหน้าที่เดินเคาะประตูบ้านและประกาศเสียงตามสายแจ้งเตือนให้อพยพเร่งด่วน โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า “อย่าลังเล ให้รีบออกทันที” เนื่องจากสถานการณ์ในแนวชายแดนไม่ปกติและยังคงมีความเสี่ยงสูง กระทั่งเวลา 09.41 น. หมู่บ้านทั้งสองเกือบจะไร้ผู้คน เหลือเพียงเจ้าหน้าที่และจุดตรวจชั่วคราวที่ตั้งอยู่ตามเส้นทางหลัก บรรยากาศโดยรวมเต็มไปด้วยความเงียบงันและความกังวลของผู้ที่ยังเร่งเก็บสิ่งของชิ้นสุดท้ายขึ้นรถอพยพคนโคกสูงแห่เติมน้ำมันล้นปั๊มขณะที่ตามปั๊มน้ำมันใน อ.โคกสูง ประชาชนนำยวดยานสารพัดชนิดมาต่อคิวยาว รอเติมน้ำมันเต็มถังเพื่อเตรียมออกจากพื้นที่ โดยต่างเก็บของจำเป็นเท่านั้น อาทิ เอกสารสำคัญ เสื้อผ้า เงินสด และยารักษาโรค ก่อนมุ่งหน้าไปยังศูนย์ปลอดภัยที่ใกล้ที่สุด และมีรายงานว่าเมื่อช่วงเวลา 13.35 น.บรรยากาศใน อ.โคกสูง เต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังมีเสียงระเบิดดังสนั่น 3-4 ครั้ง จากทิศทางชายแดน ขณะชาวบ้านหลายคนกำลังนั่งรวมตัวกันภายในร้านค้าในหมู่บ้าน เพื่อรอฟังความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดน ทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุย บางคนจัดเตรียมสัมภาระสำหรับการอพยพ ถึงกับสะดุ้งเฮือก แตกกระเจิง รีบวิ่งไปยังบังเกอร์ป้องกันภัยที่อยู่ทันทีทภ.1 สั่ง กกล.บูรพายึดคืนพื้นที่ไทยขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา พบว่าฝ่ายกัมพูชาเตรียมพร้อมรบสูงสุดตามแนวชายแดนในพื้นที่ จ.สระแก้ว มีการตรวจพบเคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงอาวุธหนักเข้าที่มั่นต่อเนื่อง รวมถึงเฝ้าติดตามฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด ตลอดเช้า ถือเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของไทย รวมทั้งสร้างความไม่ปลอดภัยในชีวิตของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ไม่เป็นไปตามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา กองทัพภาคที่ 1 โดย กกล.บูรพา จึงเข้าปฏิบัติการทางทหารยึดคืนพื้นที่อธิปไตยของไทย บริเวณชายแดน จ.สระแก้วตราดยังไม่มีคำสั่งอพยพในส่วนของจังหวัดตราดและจันทบุรีที่อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กองทัพเรือ นายพีระ เอี่ยมสุนทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เปิดเผยว่า มีความพร้อมรับมือสถานการณ์ หากคำสั่งให้อพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่ขณะนี้จังหวัดตราดยังไม่มีคำสั่งอพยพ โดยจังหวัดตราดมีพื้นที่ติดชายแดนทางบกระยะทาง 171 กิโลเมตร 3 อำเภอ 12 ตำบล 52 หมู่บ้าน หลุมหลบภัย 53 หลุม มีประชาชน 56,968 คน มีศูนย์พักพิง (อพยพ) 118 แห่ง ในอำเภอเมืองตราด อำเภอแหลมงอบ อำเภอเขาสมิง มียานพาหนะสำหรับเคลื่อนย้ายประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 1,394 คัน“อนุทิน” เรียกถกฝ่ายมั่นคงด่วนด้านความเคลื่อนไหวของรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งสื่อมวลชนปรับแผนการเดินทางลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ในเวลา 07.30 น. ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม และคณะออกไปก่อน เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังฝ่ายไทยและกัมพูชา และต่อมาในเวลา 08.40 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง หารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว. ต่างประเทศ พร้อมผู้นำเหล่าทัพ และหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงแถลงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารจากนั้นเวลา 12.20 น. นายอนุทินพร้อม พล.อ.ณัฐพล พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส. พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. จนถึงขณะนี้ เกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลายพื้นที่ รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิด สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงบูรณาการการทำงานอย่างเต็มสรรพกำลัง เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอธิปไตยของชาติไทยอย่างเคร่งครัด ยืนยันประเทศไทยจะมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม วันนี้ได้ประชุม สมช.มีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติ สมช. คือปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และในเรื่องอื่นๆที่มีความจำเป็น ประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านความเป็นอยู่และความปลอดภัย ที่พักพิง อาหาร น้ำดื่ม การบริการทางการแพทย์ และสวัสดิการที่จำเป็นอย่างเต็มความสามารถขอ ปชช.เชื่อมั่น รบ.–กองทัพนายอนุทินกล่าวว่า เพื่อความถูกต้องของข้อมูลไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก ขอวิงวอนให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางราชการเท่านั้น มอบให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้สื่อสารข้อมูลหลัก รัฐบาลจะบูรณาการข้อมูลร่วมกับทุกเหล่าทัพ หน่วยงานความมั่นคงทุกระดับ ให้ข้อมูลที่ออกสู่สาธารณะถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการปกป้องประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน คือภารกิจสูงสุดของรัฐบาลและกองทัพไทย ประเทศไทยไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มหรือรุกราน แต่จะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย และจะดำเนินการอย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ และยึดหลักสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรมเป็นสำคัญ โดยจะรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทราบต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐบาล และในศักยภาพของกองทัพโพสต์หล่อ “หน้าที่เรา รักษาสืบไป”ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ยังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “หน้าที่เรา รักษาสืบไป” ท่อนหนึ่งของเพลงพระราชนิพนธ์ “เราสู้” ของรัชกาลที่ 9 เป็นเพลงปลุกใจที่ทรงพระราชทานเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก้ทหาร อาสาสมัคร และตำรวจชายแดน เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2517ประชุมผู้ว่าฯ 7 จว.กำชับดูแล ปชช.ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย พร้อม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกฯ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง ประชุมร่วมผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงติดตามการอพยพและการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา นายกฯกำชับให้ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และดูแลเรื่องแผนอพยพขยายวงเงินให้ ผวจ. 100 ล้านทั้งนี้ น.ส.ไตรศุลีกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกฯ เน้นย้ำให้ ผวจ. 7 พื้นที่ใช้เงินทดรองราชการ และงบประมาณกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ดูแลให้ประชาชนรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน และกำชับโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ไม่ให้เลือดขาดแคลน เพื่อรองรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ มีการขยายวงเงินให้ผู้ว่าฯ จังหวัดละ 100 ล้านบาท หากงบหมดยังสามารถขยายได้อีก และยังสั่งการให้ หนุนหน่วยแพทย์ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลประชาชน ดูแล อส.-ชรบ.ที่ทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินให้พี่น้องประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ขณะที่ ผวจ.แต่ละจังหวัดรายงานว่าประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อพยพออกจากพื้นที่แล้วร้อยละ 80-90“อนุทิน” ย้ำชัดไทยถูกรุกรานจากนั้น เวลา 14.20 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมและตอบคำถามสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า รายละเอียดยุทธวิธีทางทหารไม่สามารถเปิดเผยได้ เราทำเพื่อรักษาอธิปไตย รักษาเกียรติภูมิ ความปลอดภัยของประชาชน และด้วยแสนยานุภาพกองทัพไทย มั่นใจว่าไม่ควรมีการโจมตีจากประเทศเพื่อนบ้านใดๆได้ และขอให้สื่อต่างประเทศต้องเชื่อข้อมูลของประเทศไทยที่ได้พิสูจน์ให้เห็นในทุกเวทีว่าเรารักสงบ เป็นฝ่ายถูกคุกคาม ถูกยั่วยุ เราแสดงหลักฐานให้เห็นไปยังองค์กรนานาชาติ ได้พิสูจน์และยืนยันแล้วว่าเราไม่ได้รุกรานใคร และไม่ยอมให้ถูกรุกราน กองทัพไทย เป็นกองทัพที่เชื่อถือได้ รัฐบาลไทยเชื่อกองทัพไทยปิดประตูเจรจา–เขมรต้องทำตามไทยนายอนุทินยังกล่าวถึงการเจรจาด้วยว่าคงไม่เจรจาแล้ว ถ้าเขาดำเนินการกับเราถึงขนาดนี้ และเราได้ตอบโต้ให้เขาเห็น เที่ยวนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่าการตอบโต้ของเรา ไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาณใดๆ แต่เป็นการตอบโต้ให้เขาเห็นว่า เขาไม่ควรเข้ามาคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย ดังนั้นการเจรจาจะไม่มีแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกัน ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด พร้อมย้ำถึงถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับกัมพูชา (Joint Declaration) “ไม่มีแล้วครับ จำไม่ได้”ตอก “อันวาร์” ให้ไปบอกคนรุกรานพร้อมกันนี้ นายอนุทินตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนถึงการจะคุยหรือแจ้งนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ว่าไม่คุยและไม่แจ้ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศไทยและประเทศคู่กรณี รวมถึงไม่กังวลจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ส่วนที่นายอันวาร์โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการปะทะขอให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ นายกฯย้อนว่าโพสต์ถึงใคร ไม่ได้โพสต์ให้ตน ถ้าจะบอกให้ประเทศไทยทำอะไร ตนวิงวอนคนที่เกี่ยวข้องและเป็นพยานควรจะต้องไปพูดให้กับคนที่รุกรานประเทศไทยให้หยุดการกระทำเช่นนั้นก่อน ไม่ใช่มาบอกให้ประเทศไทยเราต้องอดทนต่อไป ยังต้องหยุดหรือดำเนินการอะไร มันเลยเวลานั้นมาแล้ว ถ้าอยากจะหยุดต้องบอกคนที่รุกรานเราให้หยุด“วินธัย” ชี้เขมรอาจใช้อาวุธระยะไกลด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เมื่อเวลา 10.00 น. ว่าพบกัมพูชามีการเตรียมความพร้อมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอาวุธยิงสนับสนุนเพิ่มเติม รวมถึงมีแนวโน้มว่ากัมพูชามีการระบุพิกัดการใช้อาวุธระยะไกลในเขตพื้นที่ตอนในครอบคลุมพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์ และบริเวณพื้นที่ใกล้โรงพยาบาล อ.ปราสาท ที่อยู่ห่างจากชายแดนถึง 30 กม.โดยเหตุการณ์เริ่มปะทะหนักขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00 น.ฝ่ายกัมพูชาใช้ปืนเล็ก ปืนใหญ่ อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาจนเป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ในพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และยังพบหลักฐานว่าฝ่ายกัมพูชาเปิดพื้นที่การปะทะเพิ่ม เช่น ช่องอานม้า ปราสาทคนา ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษถล่มกาสิโนเขมรที่ตั้ง บก.โดรนพล.ต.วินธัยระบุอีกว่า ฝ่ายไทยตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุเน้นเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก เพื่อยับยั้งการโจมตีของทหารกัมพูชา ขอเน้นย้ำการใช้กำลังทางอากาศของฝ่ายไทยเป็นการปฏิบัติต่อเป้าหมายทางทหารของฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น กำจัดวงและขอบเขตความเสียหาย ค่อนข้างมีความแม่นยำสูง บริเวณแนวปะทะไม่กระทบต่อพลเรือน ขณะที่พื้นที่กาสิโน เป็นทั้งสถานที่บังคับการและศูนย์การบังคับบัญชาของอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เป็นที่ตั้งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไร้คนขับทหารสละชีพ 1 เจ็บ 8 นายนอกจากนี้ พล.ต.วินธัยยืนยันยอดผู้เสียชีวิตในเบื้องต้นว่ามีข้อมูลอย่างเป็นทางการเสียชีวิต 1 นาย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 นาย ผบ.ทบ.สั่งการให้หน่วยเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า พร้อมเตรียมการทางยุทธวิธีตอบโต้ภัยคุกคามที่กัมพูชาทำ รวมทั้งเป็นห่วงในเรื่องการบาดเจ็บและสูญเสียของกำลังพลฝ่ายไทย และประชาชน จนเป็นที่มาให้ทำลายเป้าหมายที่สำคัญสุดคือต้องทำลายระบบอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา เพราะสิ่งนั้นไม่เพียงแต่กระทบต่อกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ของทหาร แต่มีโอกาสสูงที่จะกระทบต่อประชาชนของไทยเตรียมรับมือการโจมตีจุดสำคัญส่วนการป้องกันสถานที่สำคัญ เช่น สนามบิน โรงพยาบาล คลังอาวุธ พล.ต.วินธัยยอมรับว่ามีการเตรียมการไว้ เครื่องมือแอนตี้โดรนสามารถสกัดกั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสถานที่สำคัญในทางทหาร โดยหลักการใช้อาวุธต้องจำกัดขอบเขตในพื้นที่ชายแดน หากเกินพื้นที่ชายแดน สังคมโลกยอมรับไม่ได้ และเคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว ฉะนั้นส่วนใหญ่ในพื้นที่สนามบิน ค่อนข้างมีความห่างไกลพื้นที่การรบพอสมควร แต่ตามมาตรการทางทหารไม่ได้ประมาท มีมาตรการที่จะดูแลและป้องกันอยู่แล้ว การใช้กำลังของฝ่ายไทยยังเป็นไปตามการเผชิญเหตุ ยังอยู่ในกรอบและกติกาที่เป็นสากล การตอบโต้เป็นไปตามเหตุและผลอยู่ในระดับที่เหมาะสม“นฤมล” สั่งปิดโรงเรียน 641 แห่งศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.2568 เป็นต้นมา สถานศึกษาที่อยู่ในจุดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ และสระแก้ว ตนสั่งการให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ประสานไปยัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในสังกัดทั้ง 5 จังหวัด ให้ปิดการเรียนการสอนชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะนี้สถานศึกษาที่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 641 แห่งสธ.สั่งปิด รพ.พื้นที่สีแดง 4 จังหวัดที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายพัฒนา พร้อม พัฒน์ รมว.สธ.ให้สัมภาษณ์มาตรการรับมือของ รพ.บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะความรุนแรงว่า ขณะนี้อพยพผู้ป่วยใน และปิดให้บริการ รพ.พื้นที่สีแดง 4 จังหวัด เช่น รพ.น้ำขุน รพ.น้ำยืน และ รพ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี รพ.กันทรลักษ์ รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา รพ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และ รพ.ละหานทราย และ รพ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดย รพ.กันทรลักษ์ อพยพมากที่สุดประมาณ 120 ราย และให้ผู้ป่วยอาการเล็กน้อย 120 กว่ารายกลับบ้าน ทั้งนี้ สธ.แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงเป็น 3 โซนหลักคือ สีแดงระยะห่างจากเหตุปะทะ 20 กม. สีชมพูห่างออกมา 50 กม. และสีส้มห่างออกมา 100 กม.ต่อมามีรายงานเพิ่มเติมว่า สธ.ประกาศปิดให้บริการผู้ป่วยนอก-ผู้ป่วยใน 4 รพ.ชายแดน จ.สระแก้ว ได้แก่ รพ.ตาพระยา รพ.โคกสูง รพ.อรัญประเทศ และ รพ.คลองหาด โดยเปิดให้บริการเฉพาะผู้ป่วยอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินและผู้ป่วยหนักเท่านั้น ตลอด 24 ชม. จากนั้น นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัด สธ.ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยกระดับแผนปฏิบัติการเป็นระดับ 2 และเตรียมพร้อมแผนขยายพื้นที่การดูแลจากรัศมี 20 กม. ออกไปเป็นรัศมี 100 กม.โดยจะย้ายผู้ป่วยราว 700 คน ไปยังพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ อำนาจเจริญ ยโสธร และมุกดาหารห้ามบินโดรน 7 จังหวัดชายแดนวันเดียวกัน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 12 ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2568 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง โดยพื้นที่ที่ห้ามบินโดรนเด็ดขาด ประกอบด้วย พื้นที่ที่มีการวางกองกำลังหรือการปฏิบัติการภาคพื้น ระดับจังหวัด ใน 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี และพื้นที่ที่มีการวางกองกำลัง หรือการปฏิบัติการภาคพื้นที่ระดับอำเภอ ได้แก่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง นอกจากนั้น ในส่วนของพื้นที่รัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) รอบสนามบินที่กำหนด ส่วนโดรนของราชการทหาร ตำรวจ ศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรฯ และสำนักข่าวกรองฯ สามารถปฏิบัติการได้ตามอำนาจหน้าที่ ด้านผู้บริหาร บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ยืนยันการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ยังไม่มีผลกระทบ หรือการยกเลิกเที่ยวบินและเปลี่ยนแปลงเส้นทางบินแต่อย่างใดF–16 บึมฐานทหารเขมรต่อเนื่องจากนั้นตลอดช่วงบ่ายเป็นต้นมา ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สุรินทร์ ว่าเวลาประมาณ 13.10 น.มีรายงานว่าเครื่องบินรบ F-16 บินทิ้งระเบิดใส่ฐานทหารกัมพูชา ที่ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกบ่อนกาสิโน ชุมชนโอรเสม็ด อ.กรุงสำโรง จ.อุดรมีชัย ด้านชายแดนช่องจอม จำนวน 2 ลูกเสียงสนั่นหวั่นไหว โดยฐานของทหารกัมพูชามีการเสริมกำลังและอาวุธหนักมาประจำที่บริเวณฐานดังกล่าว รวมทั้งบริเวณช่องระยี ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ปราสาทตาควาย ช่องกร่าง และปราสาทตาเมือนธม ทำให้เครื่องบินรบ F-16 ต้องคอยบินทิ้งระเบิดทำลายอาวุธหนักและตัดกำลังทหารกัมพูชาดังกล่าว โดยประชาชนในพื้นที่ได้อพยพออกนอกพื้นที่หมดแล้ว เหลือเพียงผู้นำชุมชน ชรบ.ที่คอยดูแลทรัพย์สิน และต้องคอยหลบอยู่ในหลุมหลบภัยของหมู่บ้าน โดยเสียงปืนในช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมงเบาบางลงเป็นระยะๆ ก่อนที่เวลาประมาณ 14.30 น.เกิดเสียงปืนยิงปะทะกันอย่างหนักต่อเนื่องที่บริเวณชายแดนช่องจอม ฝั่งบ่อนกาสิโนทยอยส่งกำลังพลเจ็บมา รพ.ทหารขณะเดียวกันมีรายงานจาก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จุดที่เกิดการปะทะดุเดือดเมื่อช่วงเช้ามืด ที่ทหารกัมพูชายิงถล่มใส่ฐานปฏิบัติในพื้นที่ช่องบก (ฐานอนุพงศ์) ส่งผลให้กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย และเสียชีวิต 1 นาย ได้แก่ จ.ส.อ.ศตวรรษ สุจริต ทีมแพทย์ได้เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บทั้งหมด ด้วยเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 จากอำเภอน้ำยืน ถึงสนาม ฮ.มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ ก่อนส่งตัวไปที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จำนวนสองรอบต่อมาในช่วงบ่าย แพทย์สนามส่งตัวกำลังพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากช่องอานม้า อีก 4 นายยังไม่มี รายงานอาการบาดเจ็บและสังกัด มายังโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ และเวลา 15.10 น. มีรายงานว่า พลทหารวิรัก อรุณประสิทธิชัย สังกัดร้อยจู่โจม ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณขาทั้ง 2 ข้าง แต่ยังรู้สึกตัวดีถูกส่งตัวไปยัง รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ แล้วเช่นกัน ส่วนร่างของ จ.ส.อ.ศตวรรษ ขณะนี้ถูกส่งไปยังแผนกนิติเวช รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยสถานการณ์ในพื้นที่อำเภอน้ำยืน ยังคงมีการยิงปะทะกันด้วยปืนใหญ่ และ BM-21 อย่างต่อเนื่องยึดคืนบ้านหนองหญ้าแก้วเบ็ดเสร็จส่วนที่ จ.สระแก้ว มีรายงานการปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาด้วย หลังจากกองกำลังบูรพา ทภ.1 พบว่าฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงอาวุธหนักเข้าที่มั่นประชิดชายแดน ถือเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของไทย ทำให้ช่วงบ่ายเกิดเหตุปะทะกันที่บริเวณถนนศรีเพ็ญ พื้นที่บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง กกล.บูรพาส่งยานเกราะลำเลียงพล M113 เข้าประชิดพื้นที่ และมีรายงานกัมพูชายิงจรวด BM-21 ตกเข้ามาในพื้นที่ อ.ตาพระยา ด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน ศูนย์ปฏิบัติการ ทภ.1 รายงานว่าเวลา 17.00 น. วันที่ 8 ธ.ค. กกล.บูรพา โดย ฉก.12 สามารถควบคุมที่หมาย บ.ไปรจัน ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ตามเส้น 1 : 50,000 ได้เรียบร้อย เตรียมวางแนวลวดหนามต่อไป“มาลี” แถลงโต้ไทยบิดเบือน วันเดียวกันนั้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถ้อยแถลงของ พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ออกมาประณามกองทัพไทยเปิดฉากโจมตีทหารกัมพูชาในพื้นที่อันเซส จ.พระวิหาร เมื่อเวลา 05.04 น. และยิงถล่มต่อเนื่องด้วยรถถังใส่ปราสาทตาเมือนธม พื้นที่ 5 มกรา ใกล้ปราสาทพระวิหาร และพื้นที่จอมกาเจ็ก หลังจากเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยยิงโจมตีพื้นที่ปรอแลงทมอร์ อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร เมื่อเวลา 14.15 น. ขณะที่กัมพูชาไม่ได้ยิงตอบโต้ทั้ง 2 ครั้ง และได้แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ทราบแล้ว และขอให้ AOT เข้ามาสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น และเวลา 13.36 น.ของวันที่ 8 ธ.ค. ทหารไทยได้ยิงโจมตีพลเรือนกัมพูชาอีกครั้งที่หมู่บ้านเปรย์จัน กับ ซก ซาน ที่ จ.บันเตียเมียนเจย มีพลเรือนบาดเจ็บ 3 คน แต่ฝั่งกัมพูชาไม่ได้ยิงตอบโต้ใดๆ ส่วนกรณีที่เพจกองทัพภาคที่ 1 ของไทย รายงานว่ากัมพูชานำอาวุธหนักมาที่บริเวณชายแดนนั้น กัมพูชาขอปฏิเสธและถือว่าคำกล่าวของกองทัพภาคที่ 1 ของไทยเป็นการบิดเบือน และทำให้นานาชาติเข้าใจกัมพูชาผิด“ฮุน เซน” ตามขย่มซ้ำไทยยั่วยุขณะที่สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า กองกำลังแนวหน้าทุกหน่วยต้องมีความอดทน เพราะฝ่ายรุกรานใช้อาวุธทุกประเภทยิงใส่กัมพูชาตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมารวมถึงวันนี้ เพื่อยั่วยุให้กัมพูชายิงตอบโต้ อย่างไรก็ตาม กัมพูชาได้กำหนดเส้นแดงที่ต้องตอบโต้ไว้แล้ว และขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชี้แจงให้ทหารทุกหน่วยเข้าใจอย่างทั่วถึง ส่วนนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความวิตกกังวลต่อการปะทะกันของทหารไทยกับกัมพูชาตามพื้นที่ชายแดนที่เกิดขึ้นรอบล่าสุด และขอให้ 2 ฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายสื่อนอกตีข่าวไทยปะทะเขมรขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างชาติ อาทิ บีบีซี, ซีเอ็นเอ็น, เดอะ การ์เดียน, อัลจาซีรา และ เดอะ สตาร์ ของมาเลเซีย รายงานข่าวเหตุปะทะกันของไทยและกัมพูชา โดยระบุว่า กองทัพไทยโจมตีทางอากาศใส่กัมพูชาตามแนวพื้นที่พิพาทชายแดน ขณะที่กัมพูชายิงปืนใหญ่ถล่มทหารไทย 2 นายเสียชีวิตและบาดเจ็บทบ.อัปเดตตัวเลขเสียชีวิต 1 เจ็บ 18ล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 7-8 ธ.ค. มีกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เสียชีวิตรวม 1 นาย บาดเจ็บ 18 นายอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่