ตอนหนึ่งจากหัวข้อเรื่อง กรรมดุจหมาไล่เนื้อ (หนังสือ “สวนทางนิพพาน” มติชน พิมพ์ พ.ศ.2557) อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก เขียนว่า ถ้าทำดีเรียกว่าบุญ ทำชั่วเรียกว่าบาป เรียกว่ากรรมเหมือนกันไม่ใช่ว่าเรื่องดีเป็นบุญ เรื่องเลวร้ายเป็นบาป ดังที่เข้าใจกันเรื่องบุญเรื่องบาปนี้ก็มิใช่กฏตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ หมายความว่า ตัวเราเองเป็นผู้กระทำ เราสามารถเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเราเองสมมติว่าเราเคยทำกรรมไม่ดีมาก่อน เรารู้สำนึกพยายามเลิกละความชั่ว ด้วยการทำความดีอื่นๆแทน และทำมากๆ ทำบ่อยๆ นานๆเข้าเราก็กลายเป็นผู้มีแต่กรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำไว้นั้น จริงอยู่มันมีแนวโน้มจะให้ผลหรือตามสนองเราได้ แต่ถ้ามันไม่มีโอกาส มันก็ไม่สามารถจะตามสนองเราได้ ผลที่สุดมันก็หมดไปเองท่านเปรียบเทียบไว้น่าฟัง คนทำกรรมเหมือนเนื้อสมัน กรรมที่ทำเหมือนสุนัขล่าเนื้อ สุนัขล่าเนื้อมันจะตามไล่เนื้อ ถ้ามันทัน มันก็กัดทันที ถ้าไม่ทันเนื้อก็รอดชีวิตฉันใดก็ดี คนที่ทำกรรมทั้งดีทั้งชั่ว กรรมที่ทำนั้นจะตามสนองหรือให้ผลแก่เขา แต่มิได้หมายความว่า มันจะมีโอกาสให้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นๆด้วยถ้าคนคนนั้นสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาคือทำกรรมใหม่ขึ้นมาซึ่งมีมากกว่ากรรมเก่า กรรมเก่านั้นก็อาจหมดพลังที่จะให้ผลได้เหมือนกัน กรรมเก่านั้นก็กลายเป็น “อโหสิกรรม” ไปโดยอัตโนมัติอโหสิกรรมคือกรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล “เจ๊า” กันไป เหมือนสุนัขไล่เนื้อไม่ทันก็เลิกไล่ไปเลยโดยนัยนี้ อาจารย์เสฐียรพงษ์ จึงเชื่อว่า “ทำดีลบล้างความชั่ว หรือทำชั่วลบล้างความดีได้” ได้แน่นอน เพราะกฎของกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ คนทำชั่วก็ชั่วอยู่อย่างนั้นตลอดปีตลอดชาติไม่มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีเลยหรืออย่างไร?ถ้าเชื่ออย่างนั้นก็ขัดกับหลักอนิจจังของพุทธศาสนา ทุกอย่างไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่หลักกรรมก็ตกอยู่ในอำนาจอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เช่นกันที่ว่าลบล้างไม่ใช่ล้างกันตรงๆเหมือนน้ำมาล้างคราบสกปรก หมายถึงว่ามันทำให้กรรมเก่าที่ทำไว้ละลายหายไป ไม่มีโอกาสให้ผลเท่านั้นเองขอให้ดูองคุลีมาล ฆ่าคนมามากมาย กรรมนี้แน่นอนจะต้องตามสนองท่าน แต่บังเอิญท่านฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า บรรลุเป็นพระอรหันต์ก่อน เงื่อนไขใหม่หรือกรรมใหม่นี้มีแรงกว่า จึงทำให้ท่านรอดพ้นจากบ่วงกรรมชั่วนั้นกรรมชั่วกลายเป็นอโหสิกรรมไปโดยอัตโนมัติพระพุทธเจ้าตรัสว่า...บุคคลใดเคยทำกรรมชั่วไว้ แต่ภายหลังละเสียได้ด้วยการทำดี คนที่เผลอทำชั่วภายหลังสำนึกตัว แล้วสร้างสมแต่คุณงามความดี บุคคลนั้นย่อมประสบความสว่างในชีวิต ดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉันนั้นพุทธวจนะนี้ ยืนยันว่า ทำชั่วไว้ก็สามารถลบล้างได้ด้วยความดีจบเทศน์นอกธรรมาสน์ของอาจารย์เสฐียรพงษ์ กัณฑ์นี้ ผมต้องปรับคติใหม่ ที่เคยปักใจชังใคร...ไม่ว่าใครที่เป็นโจรที่กำลังปล้นเมือง ใครที่พายเรือให้โจรนั่ง หรือใครที่นั่งเรือที่โจรพาย กระทั่งใครที่กรรมตามทันกำลังอยู่ในคุกขอให้กรรมดีที่ตั้งใจทำ จงช่วยให้พ้นบ่วงกรรมได้ในเร็ววัน ได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ขอให้เป็นต่อที่อยากเป็นมานานก็ขอให้ได้เป็นรัฐบาลเสียที...และ...คนที่อยากออกมาอยู่นอกคุก...ก็ขอให้ออกมานอกคุก คนมีบุญนั้นติดคุกนานๆก็เฉาตายได้เหมือนกัน.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม