รัฐบาลอนุทินประสานเสียงกองทัพย้ำเดินเกมรุกแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกมิติ งัดข้อเท็จจริงแย้งข้อกล่าวหาจากอีกฝ่าย ยื่นประท้วงทางการทูต พร้อมนำคลิปแฉกลางวงสื่อ ทหารกัมพูชาลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทย ยืนยันสหรัฐฯจะไม่นำประเด็นภาษีการค้ามาใช้กดดันไทย พร้อมเดินหน้าเจรจาตามกรอบเดิม เข้มเก็บกู้ทุ่นระเบิด ปักปันหมุดชั่วคราวต่อเนื่อง ส่วนการปล่อย 18 เชลยศึกจะทำเป็นขั้นสุดท้าย เมื่อเขมรเลิกเป็นปรปักษ์ ด้าน ทภ.2 ซัดกัมพูชาไร้มนุษยธรรม นำอดีตเชลยศึกมีอาการป่วยจิตมาทำการรบ พร้อมแฉสื่อเขมรปล่อยข่าวปลอมใส่ร้ายไทยรัวๆ ส่อกลบข่าวไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ลอบเข้ามาวางได้เพียบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลับมาทวีความ ตึงเครียด แม้ทั้งสองประเทศได้ลงนามปฏิญญาสร้างสันติภาพในภูมิภาคนี้ร่วมกัน ที่ประเทศมาเลเซีย แต่กองทัพกัมพูชากลับยังลอบวางทุ่นระเบิด ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังกระทำการยั่วยุ ไทยอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การที่ไทยประกาศระงับ ข้อตกลงในปฏิญญาดังกล่าวย้ำสหรัฐฯ แยกการค้า–ปมชายแดนที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 17 พ.ย. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งกองทัพ กระทรวงต่างๆ ฯลฯ ร่วมแถลง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ ที่ไทยถูกสหรัฐอเมริกา ระงับการเจรจาเรื่องภาษีการค้าหวังกดดันไทยกลับสู่การเจรจาสันติภาพ โดยนายสิริพงศ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิด ครั้งที่ 7 เราได้รับข้อมูลต่างๆมากมาย และขอยืนยันว่านายกฯ มุ่งมั่นตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไขปัญหาชายแดน และบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและต่างประเทศ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นายกฯมุ่งหมายที่จะสื่อสารกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือการ ขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงไทย-กัมพูชา ออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางพาณิชย์ ซึ่งวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวสารที่เป็น ผลบวกในแนวทางของนายกฯ กับสหรัฐฯ ผ่านนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ยืนยันสหรัฐฯจะแยกประเด็นนี้ออกจากกันซัดวางระเบิดหวังสังหารไทยด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.จนถึงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย. รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 20 ราย ทุพพลภาพขาขาด 7 ราย อีก 13 ราย ได้รับ บาดเจ็บจากแรงกระแทก ทั้ง 7 ครั้ง เกิดขึ้นในดินแดน ของประเทศไทย และเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.เกิดขึ้นในเส้นทางลาดตระเวนที่ทหารไทยใช้เป็นประจำ เป็นการวางแบบกลุ่มก้อน เพื่อมุ่งเป้าถึงชีวิต และทุ่นระเบิดที่เหลือมีลักษณะใหม่ วางในดินที่ยังไม่มีหญ้าปกคลุม และเมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 ไทยได้ส่ง รายงานไปยังคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวาว่า ไทยไม่มีการเก็บสะสมสังหารบุคคลตั้งแต่เดือน ส.ค.62 เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าเราไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง จึงสรุปได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ และเป็นกัมพูชาเป็นผู้วางคลิปเขมรเก็บระเบิดเก่าไปวางใหม่พล.ร.ต.สุรสันต์ระบุอีกว่า นอกจากนี้ หลังจากสำรวจพื้นที่ภายหลังการปะทะกับกัมพูชา เราพบโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพวิดีโอทหารฝ่ายกัมพูชา มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และพบภาพการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด 72B จากนายทหารคนเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดดังกล่าวเพื่อนำไปวางระเบิดใหม่ หลักฐานที่กล่าวมาจึงชัดเจน ว่า กัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาที่เขียนไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ทั้งสองฝ่ายยั่วยุ หรือเข้าไปในพื้นที่อธิปไตยของอีกฝ่ายลั่นระงับถอนอาวุธหนักพล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า การดำเนินการของไทย หลังจากนี้ เมื่อฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญา (Joint Declaration) เราจะระงับการดำเนินการตามปฏิญญา เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ โดยไม่สนว่ากัมพูชาจะดำเนินการหรือไม่ แต่การเก็บกู้ทุ่น ระเบิดในดินแดนไทยจะดำเนินการต่อไป โดยขณะนี้ วางพื้นที่เป้าหมายไว้ 64 พื้นที่ แต่จะเร่งดำเนินการใน 13 พื้นที่ก่อน ประกอบด้วย พื้นที่ของกองกำลัง บูรพา 3 พื้นที่ คือ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านเนินสมบูรณ์ จ.สระแก้ว พื้นที่ของกองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ คือ ช่องบก ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านสายโท 10 ใต้ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ช่องกราง ช่องเหว ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พื้นที่ของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด 4 พื้นที่ ได้แก่ หมู่บ้านตะกาง หมู่บ้านคลองเมือง หมู่บ้านชำราก อ.เมืองตราด และ หมู่บ้านโขดทราย อ.คลองใหญ่ จ.ตราด อย่างไรก็ตาม ใน 13 พื้นที่ข้างต้น จะมี 5 พื้นที่ที่เป็นพื้นที่นำร่อง ประกอบด้วย บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านชำราก ช่องเหว และสายโท 10 เพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดเหตุอันตรายกับประชาชนไทยที่เข้าไปเก็บของป่าย้ำยังไม่ปล่อย 18 เชลยศึกโฆษกกลาโหมกล่าวอีกว่า กองทัพมีหลักฐานชัดเจนถึงการละเมิดปฏิญญาของกัมพูชา ความพยายาม เข้ามาในดินแดนไทยเพื่อวางทุ่นระเบิด และกัมพูชาไม่ได้ใช้สันติวิธี แต่ใช้อาวุธต่างๆแทรกซึม ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ กองทัพไทยยืนยันถึงความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนไทย และยังดำเนินการปราบ ปรามสแกมเมอร์ เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปักปันหมุดชั่วคราว ต่อเนื่อง ส่วนการปล่อยเชลยศึกทั้ง 18 คน จะเป็นการ ดำเนินการขั้นสุดท้าย เมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์กับไทย“วินธัย” ซัด MOU 43 ไม่ใช่ปัญหาด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของฝ่ายทหารต่อกระแสที่ขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา (MOU 43-44) ว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติ MOU 43 อยู่ที่ ผู้ปฏิบัติหรือคู่สัญญามากกว่า ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจาก ลายลักษณ์อักษรหรือข้อพันธะในสัญญาโดยตรง แต่เป็นเพราะผู้ที่ยึดถือสัญญาเป็นผู้ที่ไม่ยึดถือหรือไม่ปฏิบัติ และละเมิดบ่อย ไม่ทำตามข้อตกลงที่เราจะ ต้องแก้ไขด้วยการประท้วง ส่วนการจะยกเลิกหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณายังไม่สามารถให้ รายละเอียดโดยตรงได้ แต่เราต้องรวบรวมรายละเอียดข้อมูลหลายส่วน เราพูดได้ตรงนี้คือปัญหาที่พบคือ ความไม่ตรงไปตรงมาของกัมพูชาเปิดหลักฐานในมือถือเขมรจากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้นำหลักฐานที่ทหารไทยเก็บได้ ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง บันทึกคลิป ทหารกัมพูชากำลังเก็บระเบิดเก่าเพื่อไปวางยังจุดใหม่ และการสอนวางระเบิด มาให้ผู้สื่อข่าวดู โดยโทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องที่เก็บได้ มีการนำไปตรวจสอบกับสถาบัน นิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแล้ว พบว่าเป็น คลิปจริง และบุคคลรอบข้างที่เห็นภายในคลิปเป็นทหาร กัมพูชาที่เคยลาดตระเวนร่วมกับทหารไทย โดย พล.ต.วินธัยกล่าวว่า โทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องลงทะเบียนที่ กัมพูชา หากโทร.เข้าไปเช็กจะเป็นชาวกัมพูชารับสาย ทั้งนี้ โทรศัพท์ดังกล่าวเก็บได้บริเวณภูมะเขือตอนเกิดเหตุชุลมุน โดยเราพบโทรศัพท์จำนวนหนึ่ง หลักฐานเหล่านี้จะเป็นเครื่องยืนยันและเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของฝ่ายไทยกต.ยันเดินหน้าเชิงรุกทุกโอกาสขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า เหตุการณ์ ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทันทีในทุกระดับ โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ประท้วงไปยังรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ถึงสองครั้งในทันที รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว. มหาดไทย ทำหนังสือถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นการย้ำว่าไทยยึดมั่นในเส้นทางแห่งสันติภาพ แต่การละเมิดของกัมพูชา ทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิ์ตามความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย รวมทั้งนายกฯได้หารือทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำมาเลเซีย และจะมีหนังสือย้ำท่าทีของไทย และการที่กัมพูชาจะต้องกลับมาปฏิบัติตามปฏิญญา รวมถึงจะชี้แจงต่อประชาคมโลก ในทุกโอกาส โดยนายสีหศักดิ์มีกำหนดเข้าร่วมประชุม รัฐมนตรีอินโด-แปซิฟิก (IPMF) ครั้งที่ 4 และในวันที่ 25 พ.ย.นี้ รมว.ต่างประเทศ จะร่วมเวที เสวนากับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศด้วย ขอยืนยันเราดำเนินการทูตเชิงรุกในทุกเวทีพณ.ยันแยกชัดการค้า–ความมั่นคงด้าน น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรม เจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กล่าวถึงปมสหรัฐฯระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทย ว่า จากข้อมูลล่าสุดทั้งข้อความของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรามีความมั่นใจว่าสหรัฐฯน่าจะยังมี เป้าหมายเดียวกับเรา ที่ยังยึดมั่นในเดดไลน์เดิมในการ เจรจารายละเอียดของข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จในสิ้นปีนี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่มีการเจอกับผู้แทนการค้า สหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ในช่วงประชุมเอเปก มีการพูดถึง ตลอดว่าเรื่องการค้าและความมั่นคงจะต้องแยกกันอย่างชัดเจนยังเดินหน้าเจรจายูเอสทีอาร์ส่วนกรณีที่สหรัฐฯส่งจดหมายแจ้งหยุดเจรจาการค้านั้น น.ส.โชติมากล่าวว่า จากข้อความที่เรารับในวันเดียวกันได้มีการพูดคุยระหว่างผู้นําทั้งสองประเทศ ขณะนี้ประเทศเรายึดสิ่งที่ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยกัน และจะยืนยันกลับไปยังยูเอสทีอาร์ว่า เราจะเดินหน้าพร้อมเจรจากับยูเอสทีอาร์ และยืนยันที่ผ่านมายังไม่มีการนํารายละเอียดด้านความมั่นคงมาเกี่ยวข้องกับกรอบของการเจรจาด้วย อันนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่อยู่ภายนอกของการเจรจามุ่งมั่นต่อรองลดภาษีเรื่อยๆต่อมา น.ส.โชติมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การเจรจายังคงดำเนินการต่อไป แม้ยูเอสทีอาร์ จะแจ้งระงับการเจรจาการค้าและภาษีกับไทยชั่วคราว แต่เราจะไม่รอให้การเจรจาเนิ่นนานไปถึงช่วงปลายปี ได้ยืนยันกลับไปว่า ทั้งเรื่องความมั่นคงและการเจรจาภาษีไม่เกี่ยวข้องกัน แต่หากการเจรจาไม่สิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้ ถือเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คิดว่าเราจะต้องทำงานกันต่อไป หากเป็นการเจรจาปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่ขาดช่วง ส่วนจะขอลดอัตราภาษีนำเข้าให้ต่ำกว่า 19% หรือไม่นั้น ในฐานะนักเจรจา เราต้องต่อรองเรื่อยๆอยู่ตลอด พร้อมกับยืนยันว่าท่าทียูเอสทีอาร์ต่อฝ่ายไทยยังคงเหมือนเดิมเจรจาภาษียึดตามกรอบเดิมอีกด้านหนึ่ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะทำงานเจรจาการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า ไทยยังคง เดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯตามปกติ โดยยึดหลัก การแยกประเด็นการค้าออกจากประเด็นทางการเมือง ตามนโยบายที่ได้รับจากท่านนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าจะสามารถเจรจาเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ตามกรอบเวลาเดิม ซึ่งในขณะนี้กำลังดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ในการเจรจา และเรื่องของกรอบการทำงาน (Framework) ที่กำลังพิจารณา ยังคงดำเนินอยู่ และขณะนี้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯยังไม่ได้ตอบกลับอย่างเป็นทางการต่อการหารือระหว่างผู้นำล่าสุด อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังคงยืนยันที่จะเจรจาตามกรอบเดิมต่อไปAOT ตรวจจุดทหารเหยียบทุ่นระเบิดวันเดียวกัน มีรายงานว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (ASEAN Observer Team-Thailand) จาก 4 ชาติ ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย และคณะ รวม 7 นาย เดินทางเข้าตรวจสอบจุดที่กำลังพลเหยียบทุ่นระเบิดที่ทหารกัมพูชาลักลอบมาวางในเส้นทางลาดตระเวนที่ช่องอานม้า ใกล้ฐานห้วยบอน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และพื้นที่เขาสัตตะโสม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บริเวณฐานก้านกล้วย ไปฐานสิงโต ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ทั้งหมด นอกจากนั้น ในพื้นที่ใกล้เคียงยังพบทุ่นระเบิดชนิดเดียวกันมีสภาพใหม่ มีเลขงานซีเรียลนัมเบอร์ชัดเจน ซึ่งที่ชุดเก็บกู้ทุ่นระเบิด TMAC ได้เก็บกู้จากฐานห้วยบอน จำนวน 9 ทุ่น และพื้นที่ฐานก้านกล้วยอีก 4 ทุ่น โดยคณะ AOT-TH ได้สนใจเป็นพิเศษถึงรูปแบบ พื้นที่ และจำนวนการวางในแต่ละจุด เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาถึงเจตนาของฝ่ายกัมพูชาสื่อเขมรกุข่าวกลบเจอทุ่นระเบิดนอกจากนี้ จากกรณีมีข่าวจากฝั่งกัมพูชาว่ากองทัพไทยเตรียมโจมตีกัมพูชานั้น ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด กรณีสื่อกัมพูชารายงาน ทหารไทยเตรียมบุกโจมตีกัมพูชาด้านบ้านทมอดา หรือบริเวณบ้าน 3 หลัง ตรงข้ามกับบ้านชำราก อ.เมืองตราด ในวันที่ 18 พ.ย. และมีรายงานว่าทหารกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเข้าพื้นที่บ้านทมอดา ว่าหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราดยังไม่มีแผนเข้าโจมตีตามที่สื่อกัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด รวมไปถึงยังไม่มีผู้บังคับบัญชาสั่งการแต่อย่างใดในตอนนี้ สิ่งที่สื่อมวลชนกัมพูชานำเสนอมา เป็นเพียงข่าวปลอมที่ต้องการความชอบธรรมให้กับประเทศตัวเอง เพราะเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 17.30 น. ทหารฝ่ายไทยพบทุ่นระเบิดใกล้เคียงกับพื้นที่ยุทธการบ้านชำรากในฝั่งไทย เมื่อให้หน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดเข้าตรวจสอบและเก็บกู้พบเป็นทุ่นระเบิด PMN-2 สภาพใหม่ จึงตั้งข้อสงสัยว่าการที่กัมพูชาปล่อยข่าวว่าไทยจะโจมตี มาจากเรื่องที่ทหารไทยพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อสร้างความชอบธรรมและกลบข่าวเรื่องการพบทุ่นระเบิดนั่นเองเขมรรัวข่าวปลอมใส่ร้ายไทยเช่นเดียวกับพันเอกริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่สำนักข่าว Fresh News ประเทศกัมพูชา รายงานว่า กองกำลังทหารไทยกำลังเตรียมการโจมตี มุ่งเป้าไปยังพื้นที่ธมอดา และโอพลุกด็อมเร็ย จังหวัดโพธิสัตว์ ในวันที่ 18 พ.ย.ว่าเป็นข่าวปลอม เช่นเดียวกับกรณีที่มีสื่อกัมพูชารายงานว่าทหารพรานไทยทำร้ายร่างกาย และข่มขืนแรงงานหญิงชาวกัมพูชา ที่เดินทางกลับบ้าน ในพื้นที่สวายเจก อำเภอกุมเรียง จังหวัดพระตะบอง ก็เป็นข่าวปลอมเช่นเดียวกัน ดังนั้นขออย่าหลงเชื่อ และสามารถติดตามข่าวสารที่เป็นทางการจากกองทัพบกเท่านั้นยันทหารเขมรยืนบนแผ่นดินไทยส่วนกรณีคลิปภาพทหารกัมพูชาถือจรวดอาร์พีจีเข้าไปประชิดและโต้เถียงกับทหารไทย บริเวณใกล้กับฐานที่ตั้งของทหารไทยใกล้กับปราสาทคนา ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยทหารกัมพูชาอ้างเป็นดินแดนของตัวเอง ก่อนที่ทหารไทยจะเข้ามาตอบโต้ด้วยความอดทนและใช้หลักเหตุและผลในการเจรจา จนทหารกัมพูชายอมถอยกลับนั้น ต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายวีรวัฒน์ พันธุ์ศิลป์ อดีตผู้ใหญ่บ้านแนงมุด ยืนยันว่าจุดที่ทหารเขมรขึ้นมาหาเรื่องทหารไทยใกล้กับปราสาทคนา อยู่บนสันปันน้ำบนแผ่นดินไทย ส่วนภาพที่สร้างฐานกระเช้า ไม่รู้ว่าอยู่จุดไหน แต่อ้างว่าปราสาทคนา ก็ยังไม่ชัดเจนตอกเขมรนำคนป่วยจิตมารบนอกจากนี้ เฟซบุ๊กเพจกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ว่า ตามที่ปรากฏภาพข่าวของสำนักข่าว Fresh News Daily ว่า คุณยังจำฮีโร่ทหารของเราชื่อซึม ซ็อมแอง ได้หรือไม่ เขาคือคนที่ถูกทหารไทยจับกุมและได้รับการปล่อยตัว และตอนนี้ได้ฟื้นตัวกลับมาอยู่แนวหน้าอีกครั้งแล้ว โดยความจริงคือ ร.ต.ซึม ซ็อมแอง คือเชลยศึกที่ถูกฝ่ายไทยเราควบคุมตัวไว้ในช่วงการสู้รบ ห้วงวันที่ 24-28 ก.ค.2568 ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนที่ทางการไทยจะปล่อยตัวกลับไปก่อน 2 ราย เนื่องจากอาการป่วยหนัก และมีอาการทางระบบประสาท หรือจิตเวช เราจึงได้ส่งตัวกลับไปเพื่อให้เข้ารับการรักษาต่อในประเทศกัมพูชา จึงมีเชลยศึกที่ถูกฝ่ายไทยควบคุมตัวเหลืออยู่ 18 ราย ร.ต.ซึม ซ็อมแอง เป็นบุคคลที่มีอาการพิษสุราเรื้อรัง และเสียสติจากความเครียดในระหว่างรบ โดยก่อนส่งตัวกลับ ร.ต.ซึม ซ็อมแอง ได้ทำเอกสารสัญญาว่า จะไม่เข้าทำการรบอีกตามที่เขาลงนามเอาไว้ซัดปฏิบัติการไร้มนุษยธรรมทภ.2 ระบุอีกว่า การที่กัมพูชานำบุคคลที่มีอาการทางจิตเวช เสียสติ หรือสภาพจิตใจไม่ปกติมาเข้าทำการรบ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง และการกระทำเยี่ยงนี้ยิ่งเป็นที่ย้ำชัดเลยว่าการปล่อยตัวเชลยศึกที่เหลืออีก 18 ราย ไม่สามารถกระทำได้จนกว่าความเป็นปรปักษ์จะสิ้นสุดต่อกัน ตามมาตรฐานสากลด้านความมั่นคงและมนุษยธรรม การนำบุคคลที่มีภาวะผิดปกติทางจิต หรือสงสัยว่ามีอาการ PTSD กลับไปปฏิบัติการรบ โดยไม่ได้รับการรักษาและประเมินความพร้อมอย่างเป็นทางการ ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายไม่มีมนุษยธรรม“ฮุน เซน” ยก 18 เชลยสละชีพเพื่อชาติอย่างไรก็ตาม วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา กล่าวระหว่างพิธีเปิดงานประชุมสงฆ์ประจำปีของกัมพูชา ครั้งที่ 33 เกี่ยวกับกรณีทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ยังคงถูกทางการไทยควบคุมตัวนานถึง 111 วันแล้ว โดยระบุว่าทหารกัมพูชาเหล่านี้เป็นผู้สละชีพเพื่อชาติแล้วนับตั้งแต่วินาทีที่ถูกทางการไทยควบคุมตัว และทหารเชลยเหล่านี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองมาโดยตลอด ขณะที่ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำกัมพูชา ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องที่ทางการไทยยังไม่ปล่อยตัวทหารกัมพูชาแม้แต่น้อยอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่