การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2568 ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทย พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการสงบเมื่อเวลา 21.21 น. ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้สร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่พสกนิกรชาวไทยอย่างมากทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นพระราชินีผู้ทรงคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติ ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และความห่วงใยต่อพสกนิกร โดยเฉพาะประชาชนในชนบทซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและมักประสบความยากลำบากในช่วงฤดูแล้ง พระองค์ทรงตระหนักว่าความยากจนเป็นรากฐานของปัญหาหลายประการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของครอบครัว จึงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในช่วงเวลาที่พระองค์ได้ตามเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9” ไปทรงงานในพื้นที่ห่างไกล พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นวิถีชีวิตของราษฎรที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความขาดแคลน ประชาชนจำนวนมากไม่มีงานทำในฤดูแล้ง บางคนต้องจากครอบครัวไปทำงานในเมืองใหญ่ พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าในหมู่บ้านต่างๆยังมีชาวบ้านที่มีความสามารถและภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทอผ้าไหม การปักผ้า การจักสาน การทำเครื่องเงิน และการแกะสลักไม้ ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรมที่งดงามและทรงคุณค่า แต่ขาดการสนับสนุนและโอกาสในการพัฒนา พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า หากสามารถนำฝีมือดั้งเดิมเหล่านี้มาพัฒนาให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ ก็จะช่วยให้ราษฎรมีงานทำโดยไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานของตน และยังเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่จากพระราชดำริดังกล่าว พระองค์จึงทรงริเริ่มโครงการฝึกอาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ โดยเริ่มจากการสอนทอผ้าไหมในภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าที่งดงามอยู่แล้ว พระองค์ทรงส่งเสริมให้ราษฎรฟื้นฟูการทอผ้าลวดลายโบราณที่กำลังจะสูญหาย และพัฒนาเทคนิคให้มีคุณภาพดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยหาตลาดจำหน่ายให้แก่ผลงานของราษฎร ผลลัพธ์คือชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น และเริ่มเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาและฝีมือของตนเอง งานหัตถกรรมเหล่านี้ยังกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวลาต่อมา ต่อมาเมื่อโครงการส่งเสริมอาชีพขยายตัวไปทั่วประเทศ พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรถาวรที่ทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค.2519 โดยมีพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งองค์นายกกิตติมศักดิ์ตลอดพระชนม์ชีพมูลนิธิศิลปาชีพฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมและฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทย ให้เป็นอาชีพเสริมแก่ราษฎรในชนบท รวมถึงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ให้สูญหาย ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด จังหวัดพระ นครศรีอยุธยา ศูนย์ศิลปาชีพภาคอีสาน จังหวัดสุรินทร์ และศูนย์ศิลปาชีพภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ศูนย์เหล่านี้ทำหน้าที่ฝึกอบรม สาธิตการผลิต และเป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพที่สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในด้านศิลปาชีพไม่เพียงแต่ช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความยากจน แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ศิลปะและวัฒนธรรมไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ผลงานผ้าไหมไทย งานจักสาน และงานปักผ้าที่ผลิตโดยสมาชิกมูลนิธิศิลปาชีพฯ ล้วนมีความงดงาม ประณีต และแฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นไทย พระองค์จึงทรงได้รับการยกย่องจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติว่าเป็น “พระมเหสีผู้ฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมไทย” พระราชดำรัสของพระองค์ที่ว่า “อยากให้ชาวบ้านมีอาชีพ มีรายได้ และมีความภาคภูมิใจในฝีมือของตนเอง” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตาและความเข้าใจในชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยตระหนักถึงคุณค่าของงานฝีมือและภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งยังทำให้เห็นว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากการพัฒนาคนให้มีอาชีพ มีความรู้ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงทรงเป็นแบบอย่างแห่งความเสียสละและความรักต่อประชาชน มูลนิธิศิลปาชีพฯที่พระองค์ทรงริเริ่มและดำเนินงานด้วยพระวิริยะอุตสาหะตลอดหลายสิบปี ได้กลายเป็นมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมที่ประเมินค่ามิได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับชีวิตของประชาชนในชนบท หากยังเป็นการธำรงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินตราบนานเท่านาน พระองค์จึงทรงได้รับสมญานามอย่างสมพระเกียรติว่า“แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง.เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจคลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม