กรุงเทพมหานครยังต้องเผชิญกับ “ความเสี่ยงน้ำท่วมขังซ้ำซาก” ซึ่งเป็นผลพ่วงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปรากฏการณ์เรนบอมบ์ (Rain Bomb) หรือระเบิดฝนที่ตกปริมาณมากเฉียบพลันกำลังเกิดบ่อยกว่าปกติ ส่งผลให้ระบบระบายน้ำในเมืองรับมือไม่ทันแล้วสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายกว่านั้น “เมื่อน้ำทะเลมักหนุนในช่วงฤดูฝน” ส่งผลให้น้ำไม่สามารถระบายออกจากเมืองได้สะดวก “ก่อให้เกิดน้ำท่วมขังนาน” สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แม้ทาง กทม.จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มสถานีสูบน้ำ ขุดลอกคลอง และวางท่อระบายน้ำขนาดใหญ่แต่มาตรการนี้เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือไม่ เจษฎา จันทรประภา ผอ.สำนักการระบายน้ำ กทม. บอกว่า ช่วงฤดูฝนกรุงเทพฯมักเจอปัญหาน้ำท่วมจาก 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรก...“น้ำเหนือ” ที่ไหลผ่านแม่น้ำสายหลักอย่างปิง วัง ยม น่าน และมารวมกันที่แม่น้ำเจ้าพระยาเข้า จ.ชัยนาท ผ่าน อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯในปีนี้ตามข้อมูลวันที่ 7 ต.ค.2568 มีการปล่อยน้ำจากทางน้ำเหนือผ่านมาแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 2,500-2,600 ลบ.ม./วินาที และปัจจัยที่สองคือ “น้ำทะเลหนุน” มักเกิดตั้งแต่ช่วงปลายปีไปจนถึงเดือน ม.ค.เฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง ทำให้น้ำในลำคลองสูงขึ้น กทม. จึงต้องติดตามข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ เพื่อวางแผนระบายน้ำไว้ล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อ “น้ำเหนือมารวมกับน้ำทะเลหนุนจบกันที่กรุงเทพฯ” ทำให้ระดับแม่น้ำเจ้าพระยาสูง สำหรับปีนี้คาดว่าระดับน้ำโดยรวมตั้งแต่เดือน ต.ค.อาจจะสูงถึง 2 เมตรกว่าๆ แต่ไม่น่าจะเกิน 3 เมตร ทำให้การประเมินเบื้องต้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อ “พื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ” เนื่องจากระดับแนวคันกั้นน้ำสูงประมาณ 3 เมตรทว่าจุดที่มีความเสี่ยงอยู่บ้างคือ “แนวรั่ว และแนวฟันหลอตามแม่น้ำเจ้าพระยา” เพราะแม้มีคันกั้นน้ำแต่บางช่วงอาจรั่วซึม หรือยังไม่ต่อเนื่องเป็นช่วงมีตั้งแต่ 30-200 เมตร ความยาวรวม 88 กม. และจุดยาวที่สุดอยู่ในชุมชนโรงสี “เจ้าหน้าที่” จึงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และวางแผนเสริมกระสอบทรายเป็นแนวป้องกันชั่วคราวไว้ทุกจุดทำให้แนวป้องกันนี้ “จะช่วยลดการรั่วซึม” แต่หากมีน้ำซึมบ้างก็ติดตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยเร่งระบายน้ำ และมีแผนรองรับ 24 ชม. กรณีมีพายุหรือสตอร์มเซิร์จที่ทำให้น้ำทะเลสูงผิดปกติ เพื่อเสริมแนวเพิ่มเติมในการแก้ไขทันทีจริงๆแล้วหากย้อนไปดู “ท่วมน้ำปี 2554” น้ำเหนือจะไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงถึง 3,500 ลบ.ม./วินาที และระดับน้ำที่ปากคลองตลาด 2.53 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่เมื่อเทียบกับปีนี้น้ำเหนือไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,500-2,600 ลบ.ม./วินาที “ถือว่าต่ำกว่าวิกฤติครั้งนั้น” ทำให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้แม้ในอนาคตอาจมีฝนตกเพิ่มขึ้น “กรมชลประทาน และ สนง.ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” ก็ได้ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า และมีแผนรองรับแล้ว ดังนั้นการระบายน้ำคงไม่ปล่อยน้ำเฉพาะทางแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียว แต่ยังสามารถเบี่ยงน้ำไปทางแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกงได้ เพื่อกระจายปริมาณน้ำลดผลกระทบในแต่ละพื้นที่เบื้องต้นกรมชลฯจะควบคุมการระบายน้ำไม่ให้เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที เพื่อไม่ให้กระทบพื้นที่ตอนบน เช่น พระนครศรีอยุธยา อย่างไรก็ตาม แนวโน้มฝนช่วงปลาย ต.ค. “ภาคเหนือจะลดลง” เนื่องจากลมหนาวเริ่มพัดมากดแนวฝนลงมาภาคกลาง ทำให้ฝนตกหนักใต้เขื่อน และจะตกหนักในเขตกรุงเทพฯ ก่อนจะลงสู่ภาคใต้ต่อไปปัญหาน่าหนักใจคือปัจจัยที่สาม...“ฝน กทม.ตกหนักถี่มากขึ้น” โดยเฉพาะปรากฏการณ์เรนบอมบ์ (Rain Bomb) อย่างกรณีล่าสุดเมื่อวัน 4 ต.ค.2568 มีฝนตกหนักกระจายทั่วกรุงเทพฯต่อเนื่องตั้งแต่ 11.00-15.00 น. สามารถวัดปริมาณน้ำฝนได้มากกว่า 100 มม.ตั้งแต่ย่านพญาไทลงไปถึงย่านบางนา ทำให้เกิดน้ำท่วมขังหลายจุดแต่ระบบระบายน้ำบนถนนทำได้เร็วขึ้น “ในกรณีฝนตกหนักกว่า 100 มม.” สามารถระบายน้ำออกได้ใน 2-4 ชม. แต่เมื่อลงคลองหลักยังต้องใช้เวลา 1-2 วัน เพราะหากฝนตกซ้ำคลองมักเต็ม ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำฉับพลัน จึงจำเป็นต้องพึ่งโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น สถานีสูบน้ำ และอุโมงค์ เป็นโครงสร้างที่ใช้เวลาก่อสร้างนานตอนนี้เรามีอุโมงค์หลักอยู่ 4 แห่ง คือ “คลองบางซื่อ” ใต้คลองบางซื่อจากเจ้าพระยาปาร์คถึงรัฐสภา “อุโมงค์บึงมักกะสัน” วิ่งออกสู่คลองขุดวัดช่องลม “อุโมงค์ลาดพร้าว–แสนแสบ” ตัดกับคลองลาดพร้าวระบายน้ำออกสถานีสูบน้ำพระโขนง “อุโมงค์เตาปูน–บางโพ” จากใต้ถนนประชาราษฎร์สาย 2 วิ่งออกแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางโพส่วนพื้นที่ไกลจากอุโมงค์อย่างดอนเมืองกำลังก่อสร้างอุโมงค์เปรมประชากร และอุโมงค์บึงหนองบอนฝั่งบางนา-พระโขนง แต่ก็เปิดใช้งานบางส่วนแล้ว ดังนั้น อุโมงค์เปรียบเสมือนทางด่วนช่วยเร่งระบายน้ำจุดสำคัญ แต่ไม่อาจรองรับน้ำจากคลองทั้งหมดยังคงต้องมีโครงสร้างเสริม และการบริหารจัดการร่วมกับระบบคลองแต่ปัจจุบันกรุงเทพฯ “เผชิญระเบิดฝนถี่ขึ้น” ทั้งที่ตามหลักมักเกิดทุก 5 ปีต่อครั้ง โดยปีนี้เกิดฝนตกหนักเกิน 100 มม. มากกว่า 10 ครั้ง อย่างวันที่ 4 ต.ค. ฝนตกถึง 120 มม. จนน้ำระบายไม่ทันโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำอย่างเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 57 ทำให้ต้องใช้วิธีแก้เฉพาะจุดด้วยการล้อมกระสอบทราย และติดตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยเป็นรายจุด สาเหตุจากภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดระเบิดฝนตกหนักรุนแรงผิดปกติ เช่น เดือน ก.ย.2565 ฝนตกถึง 800 มม. คิดเป็นครึ่งหนึ่งของฝน ทั้งปีในกรุงเทพฯเฉลี่ย 1,600 มม.และปีนี้ก็มีฝนตกมากกว่า 100 มม.แล้วหลายรอบมาตั้งแต่เดือน พ.ค. แต่ช่วง มิ.ย.-ส.ค. ฝนตกน้อย และมาตกหนักอีก ก.ย.-ต.ค. สะท้อนถึงการแปรปรวนของสภาพอากาศเมื่อเป็นเช่นนี้ “กทม.ปรับแผนรับมือโดยใช้ข้อมูลปี 2565 และปีล่าสุด” เพื่อนำมาจัดทำแผนระยะสั้นที่ใช้กำลังคนและทรัพยากรแก้ปัญหาพื้นที่วิกฤติ เช่น ล้อมกระสอบ และตั้งเครื่องสูบน้ำ “ระยะกลาง” ขออนุมัติงบจากสภา กทม.จ้างเหมาก่อสร้างขยายท่อระบายน้ำ และสร้างระบบสูบน้ำเพิ่ม “ระยะยาว” ลงทุนโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่สร้างอุโมงค์ระบายน้ำ เขื่อน และสถานีสูบน้ำริมแม่น้ำใช้เวลา 3-5 ปี เช่น ห้าแยกลาดพร้าวที่เคยท่วมบ่อยๆ ตอนนี้มีท่อล้อมคลองวังและเครื่องสูบชั่วคราว ช่วยบรรเทาน้ำท่วมได้บ้างแม้งานยังไม่เสร็จครบก็ตามนอกจากนี้ “ถนนรัชดาฯหน้าศาลอาญา” ก็กำลังก่อสร้างท่อระบายน้ำใหม่ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาท่อเล็กที่เป็นสาเหตุระบายน้ำไม่ทัน หากงานจบสมบูรณ์จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ 100% สำหรับพื้นที่นั้นย้ำว่าแม้สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงให้ฝนตกหนักกว่าที่เคย “กทม.” ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจปรับแผนรับมือครบทั้งระยะสั้น กลาง ยาว เพื่อให้คนกรุงเทพฯมั่นใจในการใช้ชีวิตปกติและปลอดภัยในฤดูฝนนี้คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม