อัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำยูเอ็นฯ ณ กรุงเจนีวา ตอกหน้ากัมพูชา หลังฉวยโอกาสเล่นสกปรก ใช้เวที ประชุม UNHCR ExCom บิดเบือนข้อมูลกล่าวหาไทย ทั้งเรื่อง “บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว” ที่ไทยเคยใช้เป็นศูนย์อพยพรับคนเขมรหนีภัยสงคราม ให้พักพิงชั่วคราวตามหลักมนุษยธรรม แต่กลับถูกยึด พื้นที่ขยายการตั้งถิ่นฐาน ส่วน 18 เชลยศึก ยันดูแล ตามหลักสากล ด้าน “อนุทิน” ส่ง รมว.กต.ไปคุยกับ กัมพูชาที่มาเลเซีย ย้ำจุดยืน 4 ข้อ ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ทภ.1 ลุยเคลียร์พื้นที่หนองหญ้าแก้ว วันที่สอง เจอทั้งทุ่นระเบิดทำลายรถถัง-ทุ่นระเบิดสังหารสภาพใหม่ ยันทุกหน่วยยังตรึงกำลังและทำตาม มาตรการจากเบาไปหาหนัก ส่วน จ.สระแก้ว ประกาศซ้อมแผนอพยพประชาชนชายแดนไปศูนย์พักพิงชั่วคราว ใน 4 อำเภอ “ตาพระยา-อรัญประเทศ-โคกสูง-คลองหาด”ในขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังอึมครึม เมื่อกัมพูชายังส่งทั้งทหารและพลเรือนเข้ามาประชิดรั้วลวดหนามต่อเนื่อง ล่าสุดมีรายงานข่าวจากการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR ExCom) สมัยที่ 76 ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมพิจารณานโยบาย การวางงบประมาณ และกำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก แต่นายดารา อิน ตัวแทนกัมพูชา กลับฉวยโอกาสกล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง บิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีพื้นที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยกล่าวหาว่า ไทยขับไล่ชาวกัมพูชาออกจากที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ทั้งที่อาศัยภายใต้การปกครองของกัมพูชามาหลายชั่วอายุคน ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ซึ่งห้ามการบังคับโยกย้ายพลเรือน ทำลายหรือยึดทรัพย์สินจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นางสาวปรารถนา ดิษยทัต อัครราชทูต รองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ตอบโต้ถ้อยแถลงของกัมพูชาในทุกประเด็น โดยระบุว่ากัมพูชาไม่ควรใช้เวทีนี้เผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูล เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง สำหรับการบิดเบือนหมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างถึง ยืนยันว่าตั้งอยู่ในดินแดนของไทย การมีอยู่ของหมู่บ้านเหล่านี้เกิดจากการที่ประเทศไทยยอมเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองเข้ามาหลบพักพิงชั่วคราวตามหลักมนุษยธรรม แต่หลังจากที่ความขัดแย้งในกัมพูชายุติลงในช่วงทศวรรษ 1980 ชาวกัมพูชาบางส่วนกลับยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ของไทยและขยายการตั้งถิ่นฐาน โดยไทยเคยประท้วงไปหลายครั้งแต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือรับผิดชอบใดๆ เมื่อไม่นานมานี้กองทัพกัมพูชาได้กระตุ้นให้ชาวกัมพูชา เด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อกระทำการยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพื่อเพิ่มความตึงเครียด ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่มีอยู่ส่วนประเด็นเรื่องทหารเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย นางสาวปรารถนาระบุว่า ทางการไทยย้ำมาโดยตลอดว่า เชลยศึกเหล่านี้ถูกจับกุมในการสู้รบที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน และเชลยเหล่านี้ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยตามหลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ และจะมีการปล่อยตัวเชลยเหล่านี้เมื่อการสู้รบยุติลง สำหรับบรรยากาศวันที่สองของปฏิบัติการเข้าเคลียร์วัตถุระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงเช้าวันที่ 11 ต.ค. ที่บ้านหนองจาน มีขบวนรถยนต์ของประชาชนจากหลายอำเภอ เช่น อรัญประเทศ ตาพระยา และวังน้ำเย็น เข้าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง บางกลุ่มนำธงชาติไทยมาประดับและโบกสะบัดตลอดเส้นทาง ขณะที่บริเวณหน้าจุดรวมพลของมวลชน มีการร้องเพลงชาติและเพลงปลุกใจเพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า แต่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาจากนั้นช่วงสาย ขบวนรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของ “กัน จอมพลัง” เดินทางเข้าสู่พื้นที่บ้านหนองจานเพิ่มเติมอีก 10 คันรถ จำนวน 20 ตู้ โดยตู้ทั้งหมดถูกนำไปจัดเรียงไว้ในจุดพักชั่วคราวภายในหมู่บ้าน เพื่อใช้เป็นพื้นที่เก็บอุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานของมวลชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ขณะเดียวกัน นายวีระ สมความคิด ในฐานะตัวแทนชาวบ้านหนองจาน มาที่บ้านหนองจาน ติดตามความคืบหน้าการอพยพของชาวกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของชาวบ้านต่อสถานการณ์ล่าสุดว่า หลังพ้นกำหนดวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับชาวบ้านและเห็นพ้องกันว่า หากกองทัพไทยยังไม่สามารถขับไล่กลุ่มชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ ชาวบ้านจะขับไล่กันเอง แม้จะยังไม่ได้ระบุแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ได้ขีดเส้นตายให้ถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้ด้านชาวบ้านบ้านหนองจานรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ แม่ทัพภาคที่ 1 มาพบปะประชาชนและยืนยันว่ากองทัพจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ใช้ยุทธวิธีทางทหารจาก “เบาไปหนัก” ในแนวหลักเขตที่ 46-47 บริเวณบ้านหนองจาน และแนวหลักเขตที่ 42-43 ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ขณะนี้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้นส่วนที่บ้านหนองหญ้าแก้ว มีรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 10 ต.ค.ต่อเนื่องวันที่ 11 ต.ค.มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ได้นำรถแห่เครื่องเสียงมาเปิดเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงผู้หญิงร้องไห้ สลับกับเสียงลมหวิวสร้างบรรยากาศวังเวงบริเวณแนวชายแดนติดกับฝั่งกัมพูชา ทำให้กัมพูชาที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ไม่ไกล ถึงกับเปิดไฟส่องสว่างทั่วแนว และมีการเคลื่อนไหวชุลมุนอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง และในช่วงเช้า กกล.บูรพาใช้โดรนบินสำรวจตามแนวชายแดน ไม่พบมวลชนกัมพูชามารวมตัวแต่อย่างใด มีเพียงทหารกัมพูชาประจำจุดเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ถึง 10 นาย ส่วนใหญ่ยืนอยู่ในลักษณะอ่อนแรงและมีท่าทีอ่อนเพลีย เจ้าหน้าที่ไทยบางรายถึงกับกล่าวว่า “เมื่อคืนคงหลอนไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะผีไทยเล่นของแรง”ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 11 ต.ค. ณ เวลา 15.00 น.ที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีมวลชนไทยเข้าพื้นที่นับร้อยคน ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา พบความเคลื่อนไหวประชาชน สื่อ ทหารและตำรวจ ฝ่ายกัมพูชา คอยติดตามความเคลื่อนไหว/การปฏิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 30-40 คน สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติส่วนที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝั่งกัมพูชาพบความเคลื่อนไหวมวลชนราว 150-200 คน บริเวณรั้วลวดหนาม และกระจายรอบหมู่บ้านเปรยจัน โดยมีทหาร ตำรวจ และส่วนราชการ คอยอำนวยความสะดวกและเชิญชวนนักข่าวในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมปลุกระดมบิดเบือน ตลอดจนเรียกร้องให้ปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายกลับประเทศ สถานการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ทั้งนี้ หน่วยได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ โดยจัดควบคุมและรักษาความปลอดภัยพื้นที่ เเละจัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิด 7 ชุด พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้นเเละรถถากถางหุ้มเกราะ D5 ดำเนินการตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่ปฏิบัติการฝ่ายไทย บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด คาดว่าจะใช้เวลา 3-4 วัน เพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่ กกล.บูรพา โดย ฉก.อรัญประเทศ ฉก.ตาพระยา ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารพราน และชุดควบคุมฝูงชน ยังคงตรึงกำลังทั้งสองพื้นที่ เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก กองทัพภาคที่ 1 ยืนยันจะดำเนินการเด็ดขาดกับพื้นที่ที่มีการรุกล้ำอธิปไตยของไทย ในห้วงเวลาที่ได้เปรียบโดยคำนึงถึงผลสำเร็จทางยุทธวิธีและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกัน จังหวัดสระแก้ว ออกประกาศซ้อมแผนอพยพประชาชนชายแดนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2568 เริ่มเวลา 10.00 น. เป็นต้นไป จึงขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยและขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยในประกาศยังลงเบอร์โทรศัพท์ผู้ประสานทั้งระดับจังหวัด และระดับอำเภอ ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ตาพระยา โคกสูง อรัญประเทศ และคลองหาดขณะเดียวกัน มีรายงานว่า เมื่อช่วงบ่าย ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดที่บ้านหนองหญ้าแก้ว พบทุ่นระเบิดทำลายรถถังไม่ทราบชนิด โดยทุ่นระบิดดังกล่าวมีสภาพใหม่ รวมถึงทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN จำนวน 3 ทุ่น สภาพพร้อมใช้ โดยจุดที่ตรวจพบเป็นพื้นที่ที่ไทยยึดคืนจากกัมพูชา อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยความมั่นคงขณะที่ชายแดนไทยกัมพูชาฝั่งอีสานใต้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 11 ต.ค. ณ เวลา 14.00 น. มีการตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา พบโดรนบริเวณช่องอานม้า 1 ลำ ปราสาทพระวิหาร 3 ลำ ภูมะเขือ 1 ลำ พลาญหินแปดก้อน 1 ลำ ปราสาทตาควาย 23 ลำ อีกทั้งยังตรวจพบขบวนรถยนต์ 10 คัน เป็นรถพลเรือน 9 คัน และรถทางทหาร 1 คันมุ่งหน้าเข้าพื้นที่แนวชายแดน คาดว่าเป็นการลำเลียงยุทธภัณฑ์และเสบียง โดยใช้รถพลเรือนอำพรางรูปแบบการเคลื่อนที่ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ในวันที่ 12 ต.ค. รมว.ต่างประเทศจะเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อพบกับทีมของกัมพูชาในการประชุมระดับรัฐมนตรี เรามองมาเลเซียเป็นประเทศมหามิตร มีการแสวงหาความร่วมมือ ทางมาเลเซียพยายามนำไปสู่การเจรจาสันติภาพ อะไรที่นำไปสู่การเจรจาลดความรุนแรง เพื่อไปสู่สันติภาพ เราให้ความร่วมมือ จุดยืนของไทยไม่เปลี่ยนแปลง จุดยืน 4 ข้อ ต้องได้รับการตอบสนองก่อนการบรรลุข้อตกลงใดๆอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่