ครม.ไฟเขียวออกมาเรียบร้อยแล้ว โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง เปิดเผยว่า “โครงการคนละครึ่งพลัส” เป็นไปตามแนวทาง Quick Big Win ตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพให้ประชาชน ที่สำคัญคือมุ่งหวังให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าศักยภาพ จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่ทั่วถึง ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจจะชะลอตัวอย่างรวดเร็วดร.เอกนิติ กล่าวว่า ครม.ได้เห็นชอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน 44,000 ล้านบาทในโครงการนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 20 ล้านคน มาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 69 จำนวน 25,000 ล้านบาท จากงบกลางอีก 19,000 ล้านบาท รวมวงเงินจากรัฐบาล 44,000 ล้านบาท เมื่อรวม เงินที่ประชาชนจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง 44,000 ล้านบาท และ วงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับการเติมเงินเพิ่มเป็น 23,000 ล้านบาท จะทำให้ มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 111,000 ล้านบาท คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้ 0.3–0.4% ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปีนี้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 1%โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ยังได้ให้สิทธิ์ ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้ ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 หรือ ภ.ง.ด.95 ในปีภาษี 2567 ราว 11 ล้านคน ได้รับวงเงินเพิ่มเป็นคนละ 2,400 บาท มากกว่าประชาชนทั่วไปที่ได้วงเงินคนละ 2,000 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ดร.เอกนิติ ยืนยัน ไม่มีการตามเก็บภาษีทีหลังแน่นอน โครงการนี้ไม่ได้มีการเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบกรมสรรพากร ผู้ประกอบการปกติ ไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการหรือไม่ เมื่อมีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอยู่แล้ว อยากให้มั่นใจว่า คนละครึ่งพลัสจะกระจายความคึกคักให้กับเศรษฐกิจไทย ลดรายจ่ายให้ประชาชน เพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้า และเพิ่มกำลังใจให้ประชาชนในไตรมาสสุดท้ายนี้ในระยะต่อไป ภาครัฐอาจกำหนดให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือ เรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) หรือ ความรู้ทางด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ผ่านแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่กำหนด เพื่อสร้างทักษะในด้านต่างๆ เช่น การประยุกต์ใช้เอไอในการบริหารจัดการต้นทุนร้านค้า เป็นต้นคุณลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นโครงการที่ให้สิทธิ์ “กลุ่มที่มีสมาร์ทโฟน” เพื่อป้องกันการทุจริต ส่วนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน กระทรวงการคลังพบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งได้รับการเติมเงินอีก 1,700 บาท เป็น 2,000 บาทอยู่แล้ว ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งใน 5 เฟสที่ผ่านมามีจำนวน 1.4 ล้านร้านค้า เมื่อรวมกับไมโครเอสเอ็มอีในรอบนี้อีกประมาณ 1 แสนร้านค้า ทำให้คาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสประมาณ 1.5 ล้านร้านค้าคุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ก็ยืนยันว่า การลงทะเบียนรับสิทธิ์และการใช้จ่ายผ่านแอป “เป๋าตัง” มีเสถียรภาพมาก ปัจจุบันรองรับได้ 1 แสนธุรกรรมต่อวินาทีผู้มีสิทธิ์ร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไปในวันลงทะเบียน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ถูก สศค.ระงับสิทธิ์หรือเรียกเงินคืนใน 5 เฟสแรก ใช้จ่ายได้วันละ 400 บาท จ่ายเอง 200 บาท รัฐจ่ายให้ 200 บาท เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. ถึง 31 ธ.ค.2568 ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนการซื้ออาหารผ่าน Delivery Platform ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ 7 พ.ย.ถึง 31 ธ.ค.2568 ต้องช่วยกันใช้เงินกว่าแสนล้านนี้ให้หมดนะครับ จะกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 ได้ 1% แน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม