เหตุการณ์ถนนสามเสนยุบตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ “หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล” นับเป็นสัญญาณเตือนภัยสำคัญถึงความเปราะบางของสภาพดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนชั้นดินเหนียวอ่อนมีความอ่อนไหวต่อการทรุดตัวตามธรรมชาติแล้วนับวันปัญหานี้ยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงจาก “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน” ไม่ว่าจะเป็นการขุดอุโมงค์รถไฟฟ้า การวางท่อน้ำขนาดใหญ่ หรือวางระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ ทำให้เกิดโพรงช่องว่างใต้ดินเป็นตัวเร่งให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดดินยุบ หรือการทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่เฉียบพลันสูงขึ้นสร้างความกังวลใจแก่คน กทม.ต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับโอกาสเสี่ยงนี้ ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) บอกว่า ตามลักษณะทางธรณีวิทยาพื้นที่ในกรุงเทพฯเป็นดินอ่อนแทบทั้งหมด เมื่อมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่มักเสี่ยงเกิดการทรุดตัว หรือยุบตัวของพื้นดินได้ง่ายด้วยอดีตพื้นที่แห่งนี้ “เคยเป็นที่ลุ่มรับน้ำ” ก่อนจะพัฒนาพื้นที่เป็นเมืองจึงมีแนวโน้มดินทรุดตามธรรมชาติ ถ้าดินทรุดเท่ากันก็จะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าทรุดไม่เท่ากันอาจทำให้อาคารเสียหาย เช่น พื้นเอียง หรือผนังร้าวดั่งกรณีดินยุบตัว “หน้า รพ.วชิรพยาบาล” ซึ่งเป็นการยุบเฉพาะจุดมักเกิดขึ้นได้ “แต่ไม่ใช่เกิดบ่อย” ในอดีตส่วนใหญ่เคยเจอดินยุบลึก 1-2 เมตร และหลายกรณีเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ท่อระบายน้ำใต้ดินแตกรั่วซึมเข้าดินชุ่มน้ำเกินปกติชะล้างดินไปกับน้ำยุบเป็นหลุมลึกขึ้นอยู่กับปริมาณดินถูกพัดไปหรือระยะเวลาไม่ได้รับการแก้ไขถ้าพูดถึงพื้นที่อื่นในกรุงเทพฯ “เสี่ยงดินยุบขนาดใหญ่อีกหรือไม่” แน่นอนว่าหลายจุดมีโอกาสเสี่ยงโดยเฉพาะพื้นที่มีน้ำขังหลังฝนตกหนัก หรือพื้นที่ระบบระบายน้ำไม่ดี แต่ก็ใช่ว่าน้ำจะซึมผ่านชั้นดินด้านบนลงไปใต้ดินได้ง่ายขนาดนั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วกรุงเทพฯดินเหนียวจะอยู่บริเวณชั้นบนสุดที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ดีพอสมควรแต่หากจะเกิดอาจเป็นพื้นที่ “โครงสร้างชั้นดินบกพร่อง” เช่นมีโพรงใต้ดินเฉพาะจุดแต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายเสมอไป ฉะนั้นเวลาเกิดเหตุดินยุบต้องย้อนดูบริเวณนั้นมีร่องน้ำ หรือช่องทางน้ำไหลผ่านใต้ดินหรือไม่ เพราะแม้พื้นที่กรุงเทพฯ “ส่วนใหญ่เป็นดินอ่อนแต่ชั้นดินบนสุดก็เป็นดินเหนียว” น้ำซึมผ่านได้ช้ามาก สังเกตได้เวลาเรารดต้นไม้น้ำจะขังอยู่ด้านบนพักใหญ่ก่อนจะค่อยๆซึมลงใต้ดิน ดังนั้นการประเมินความเสี่ยงว่าแต่ละพื้นที่จะเกิดการยุบตัวมากหรือน้อยแค่ไหน ต้องพิจารณาลักษณะดิน และโครงสร้างทางวิศวกรรมใต้ดินด้วยจริงๆแล้ว “โครงสร้างชั้นดินกรุงเทพฯ” จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอโดยทั่วไปมีลำดับชั้นคือ “ชั้นที่ 1 เป็นดินเหนียวอ่อน” (Very Soft Clay) มีความลึกประมาณ 15-17 เมตรจากผิวดิน “ชั้นที่ 2 ดินเหนียวแข็งปานกลาง” อยู่ที่ความลึกประมาณ 17-19.5 เมตร ซึ่งดินชั้นนี้มีความเหนียวแข็งแรงขึ้นกว่าชั้นบน ถัดมาในความลึกลงไป 19.5 เมตร คือ “ชั้นที่ 3 เป็นดินทรายผสมดินเหนียว” มีระดับความหนาประมาณ 2-3 เมตรแล้วก็เรียกว่า “ชั้นทรายชั้นแรกของกรุงเทพฯ” (First Sand Layer) พอเลยชั้นทรายไปก็จะเริ่มเป็นดินเหนียวแข็งถึงแข็งมาก และมีสีเหลือง, น้ำตาล, น้ำตาลปนเหลือง, เหลืองปนน้ำตาลเมื่อเลยชั้นนี้ไปความลึกประมาณ 30 เมตร “เป็นชั้นดินทรายล้วน” สามารถพบได้บริเวณเขตสุขุมวิทแล้วชั้นดินนี้มีความหนา 10 เมตร ดังนั้นอาคารสูงมักปักเสาเข็มให้ปลายถึงทรายชั้นนี้ที่เรียกว่า Second Sand Layer ซึ่งตามหลักสภาพดินในกรุงเทพฯก็จะเป็นแบบนี้ที่อาจมีความแตกต่างกันในเรื่องความลึกแต่ละชั้นดินอยู่บ้างทว่าหากมีการขุดลึกไปถึงชั้นทราย “ปัญหาอาจจะเกิดขึ้นได้” เนื่องจากทรายเป็นวัตถุชนิดที่ไหลง่าย ตัวอย่างหากขุดเจาะลงไปในชั้นทรายแล้วมีน้ำใต้ดินอยู่ “น้ำอาจจะไหลผ่านนำพาทรายไปด้วย” ทำให้เกิดโพรง หรือการทรุดตัว อันเป็นพฤติการณ์น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะงานฐานรากการทำเสาเข็มที่ต้องเจาะเพื่อสร้างบ้าน และอาคาร เมื่อเจาะถึงชั้นทรายแล้ว “น้ำทะลักขึ้นมามองเห็นชัดเจน” อันนี้เป็นปัญหาแน่เนื่องจากน้ำมักไหลได้ดีในชั้นทราย “แต่ไหลยากในชั้นดินเหนียว” อย่างไรก็ดี ทรายมักรับแรงแบกฐานได้ดีโดยลองนึกภาพเวลาไหว้พระนำธูปปักลงถ้วยแก้วมีทรายมักปักไม่ถึงก้นถ้วย เพราะเม็ดทรายด้านบนเคลื่อนตัวได้แต่ทรายด้านล่างหนีไปไหนไม่ได้ทำให้รวมตัวกันรับแรงต้านไว้ จนธูปไม่สามารถจมลึกลงไปได้ ในทางกลับกันหากใช้วิธีขุดชั้นทรายออก เช่น งานเจาะเสาเข็มแห้ง มักมีน้ำใต้ดินทะลักขึ้นมา ลักษณะตรงข้ามกับการตอกเสาเข็ม ดังนั้นหากจำเป็นต้องเจาะเสาเข็มแบบแห้งไปถึงชั้นทรายก็ควรใช้สารละลายช่วยควบคุมสภาพดินระหว่างการเจาะด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ทรายพังทลาย ส่วนสารละลายที่นิยมใช้ในกรณีนี้เช่น “สารละลายเบนโทไนต์ หรือสารละลายโพลีเมอร์” ซึ่งทำหน้าที่ไม่ให้ทรายฟุ้ง หรือปิดผิวดินทรายไม่ให้เกิดการเคลื่อนตัวขณะเจาะปัญหาในกรณี “เกิดน้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ” แม้จะมีปริมาณน้ำมาก โอกาสที่น้ำจะซึมลึกลงถึงชั้นทรายไหลออกมานั้น “เป็นไปได้ยาก” เพราะในหลายพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นทรายอยู่ลึก และมีชั้นดินเหนียวหนาปิดทับอยู่แต่จริงๆแล้ว “ดินกรุงเทพฯก็ยุบตัวทุกปี” สังเกตตามบ้านเรือนแทบทุกหลังมีร่องรอยการยุบตัว และการยุบตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจุด “แต่ยุบตัวเป็นวงกว้างพร้อมกัน” ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น“ดังนั้นคน กทม.ไม่ต้องกังวลเรื่องดินยุบ เพราะกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นตามธรรมชาติของสภาพดินในพื้นที่กรุงเทพฯ ผมเองอาศัยอยู่ในย่านป่าชายเลนถือเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงด้วยซ้ำ และดินยุบเร็วกว่าพื้นที่อื่นในปริมาณมากด้วย แต่ยังใช้ชีวิตปกติ เพียงแต่การสร้างบ้านต้องออกแบบโครงสร้างให้เหมาะสมกับสภาพดิน” ผศ.ดร.ธเนศว่า ตอกย้ำว่า “ปัญหาดินทรุดยุบตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่” ก่อนเวลาเกิดมักมีสัญญาณเตือนให้สังเกตได้ เช่น มีแอ่งน้ำขังเฉพาะจุด หรือพื้นถนนยุบผิดปกติ อย่างกรณีหน้า รพ.วชิรพยาบาล จากการสอบถามตำรวจท่านหนึ่งก็สังเกตเห็นว่ามีน้ำขังซ้ำๆดินทรุดเป็นระยะ แสดงว่าบางกรณีที่ดินยุบตัวก็มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเช่นกันแต่ในเรื่องการดูแลเฝ้าระวังปัญหาดินยุบตัวนั้น “คงไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของประชาชน” เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรม และการก่อสร้าง เช่น หน่วยงานท้องถิ่น, กรมโยธาธิการ หรือวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางเทคนิคกับประชาชนย้ำว่าระบบชั้นดิน กทม. “ยังมั่นคงตามธรรมชาติ” ปัญหาดินยุบมักมีสัญญาณเตือนก่อนเสมอ และการที่หน่วยงานรัฐตรวจสอบโครงสร้างพื้นที่ต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัยของประชาชน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม