โพลหลายสำนักสอบถามความเห็นประชาชนเกี่ยวกับปัญหาบัญชีม้า หลังมีหลายคนได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการถูกอายัดบัญชี ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการอายัดบัญชีแก้ปัญหาได้ แต่ต้องปรับปรุงให้กระทบชาวบ้านน้อยลง และยังมั่นใจในหน่วยงานที่ดูแล ป้องกันและบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารต่างๆ แต่กระทรวงดีอีตกสำรวจไม่อยู่ในความสนใจของประชาชน วอนรัฐบาลใหม่ลงทุนด้านงบประมาณ ระบบฐานข้อมูล และเทคโนโลยีตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบสวนดุสิตโพลเปิดเผยสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,154 คน เรื่องหัวอกประชาชนกับบัญชีม้า ระหว่างวันที่ 16-19 ก.ย. พบว่าจากข่าวบัญชีม้าช่วงที่ผ่านมา ร้อยละ 38.30 รู้สึกกังวลมากว่าบัญชีตัวเองอาจถูกอายัดโดยไม่รู้ตัวร้อยละ 57.89 จะปรับพฤติกรรมตนเองด้วยการตรวจสอบธุรกรรมบ่อยขึ้น ร้อยละ 61.87 เชื่อมั่นต่อธนาคารและหน่วยงานรัฐในการปกป้องผู้บริสุทธิ์จากผลกระทบบัญชีม้า สำหรับบทเรียนหรือข้อคิดจากข่าวบัญชีม้า ร้อยละ 66.98 ระบุว่า ทำให้ติดตามข่าวอย่างต่อเนื่องและตรวจสอบธุรกรรมของตนเองบ่อยขึ้น รองลงมาร้อยละ 56.41 ระวังไม่ให้หลงเชื่อคนแปลกหน้าที่ติดต่อมาขอใช้บัญชี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมร้อยละ 64.04 ระบุรู้สึกเชื่อมั่นต่อรัฐบาลนายอนุทินในการเข้ามาแก้ปัญหาบัญชีม้าด้านซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ สำรวจเสียงของเหยื่อมิจฉาชีพต่อมาตรการเข้มอายัดบัญชีม้าจาก 1,030 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย. พบว่า ประชาชนร้อยละ 95.2 ระบุว่า ตนเองรับรู้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพ “มากถึงมากที่สุด” ขณะที่ร้อยละ 3.1 ระบุว่า รับรู้บ้าง และมีเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้นที่ยอมรับว่า รับรู้น้อยหรือไม่รู้เรื่องเลย ตัวเลขนี้ยืนยันว่าปัญหาดังกล่าวกลายเป็นประเด็นสาธารณะระดับประเทศที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไปส่วนประเด็นทัศนคติต่อมาตรการยาแรง ร้อยละ 83.6 เชื่อว่าการอายัดบัญชีม้าสามารถลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพได้จริง ร้อยละ 75.9 เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารพาณิชย์ ควรพัฒนาเทคโนโลยีตรวจสอบอัจฉริยะที่รวดเร็วและแม่นยำ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ร้อยละ 71.5 ยอมรับว่ามาตรการดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องปรับปรุงวิธีการเพื่อสร้างความเป็นธรรม ทั้งร้อยละ 63.2 มองว่าวิกฤติการอายัดบัญชีที่ส่งผลต่อผู้บริสุทธิ์สามารถพลิกเป็นโอกาสในการยกระดับความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของประเทศ ส่วนร้อยละ 27.4 เห็นว่า จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผลกระทบ และมีเพียงร้อยละ 1.1 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการอายัดบัญชีม้าอย่างเด็ดขาดสำหรับความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อหน่วยงานหลักในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์พบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดที่ร้อยละ 62.3 รองลงมาคือธนาคารแห่งประเทศไทยที่ร้อยละ 58.9 และธนาคารพาณิชย์ต่างๆร้อยละ 51.3 ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นภาพจำเชิงบวกต่อผลงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่เคยดำเนินมาตรการ “ตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ได้สำเร็จ ร้อยละ 80.5 ของประชาชนยังจดจำความสำเร็จนี้ได้อย่างชัดเจน และร้อยละ 92.7 หวังว่ารัฐบาลจะเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อคืนเงินให้แก่เหยื่อโดยเร็วขณะเดียวกันร้อยละ 78.5 ต้องการให้รัฐบาลสานต่อมาตรการที่จับต้องได้ ปิดเส้นทางการสื่อสารและการเงินของมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ร้อยละ 74.6 แสดงความคาดหวังให้รัฐบาลยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อจัดการแก๊งข้ามชาติ และร้อยละ 73.4 ต้องการให้รัฐบาลลงทุนด้านงบประมาณ ระบบฐานข้อมูล และเทคโนโลยีตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมโยงตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเป็นระบบอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่