“กัมพูชา” ไม่หยุดยั่วยุ ล่าสุดขนชาวบ้านครึ่งพันป่วนชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว สร้างความตึงเครียดชายแดนกลับมาพุ่ง ส่วนฝั่งกันทรลักษ์ ศรีสะเกษ พบโดรนบินล้ำมาอีก 3 ลำ ด้าน “อนุทิน” ย้ำให้อำนาจทหารตัดสินใจเต็มที่ “เปิดด่าน-สร้างรั้วชายแดน-จัดการโดรน” ลั่นไม่มีใครมาล็อบบี้หรือต่อรองใดๆได้ ส่วนความวุ่นวายที่ จ.สระแก้ว อีกฝ่ายต้องถอนกลับไปให้หมดทั้งกลุ่มติดอาวุธ-โล่มนุษย์ ชี้หากยังเป็นแบบนี้จะไม่มีการเจรจาใดๆทั้งสิ้น ขณะเดียวกันอธิบดีกรมการปกครองการันตี ผวจ.สระแก้ว ทำงานอย่างเต็มที่แล้วสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่4 จังหวัดอีสานใต้และ 3 จังหวัดฝั่งตะวันออก ยังไร้วี่แววจะคลายความตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ที่ จ.ศรีสะเกษ ถึงเรื่องการปิดด่านและการสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่าการรักษาอธิปไตยและดินแดนของประเทศ ได้ทำความเข้าใจกับทางการทหารว่า เมื่อพวกตนได้เข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศเมื่อไหร่ จะให้ทางทหารได้ตัดสินใจอย่างเต็มที่ และเคารพการตัดสินใจของฝ่ายทหาร ส่วนในฝั่งรัฐบาลจะไปทำหน้าที่สนับสนุนในเรื่องของการทูต การเจรจาเงื่อนไขต่างๆ ความชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับเงื่อนไข เขาต้องยอมรับเงื่อนไขของเราเท่านั้นนายอนุทินกล่าวอีกว่า อยากให้มีความชัดเจนตรงนี้ เพราะช่วงที่ผ่านมามีการคาดคะเนหลายอย่าง บอกว่ามีผู้นำต่างประเทศโทรมาล็อบบี้ตน ซึ่งตนล็อบบี้ไม่ได้หรอก ไม่มีใครมาล็อบบี้ได้ เพราะตนต้องทำให้กับคนไทย ประเทศ ไทยเท่านั้น ไม่มีการต่อรองใดๆทั้งสิ้น จนกว่าเขาจะรับเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ก่อนส่วนกรณียังพบโดรนฝ่ายตรงข้ามบินวนอยู่รอบภูมะเขือ นายอนุทินกล่าวว่า บอกแล้วว่าเรื่องของการทหารก็ให้ทหารเป็นผู้ตัดสินใจ อยากปักธงชัยตรงไหน ขอให้ไปปักให้คนไทยได้ชื่นใจในที่ที่เป็นของคนไทย เอาแผ่นดินทุกตารางนิ้วของเราที่เขารุกล้ำเอาคืนมาให้ได้ ตนสนับสนุนเต็มที่ ส่วนข้อซักถามถึงบริเวณพื้นที่หนองหญ้าแก้วและหนองจาน ที่ฝั่งกัมพูชายังมีการใช้โล่มนุษย์นั้น นายอนุทินระบุว่า ถ้าจะคุยอะไรกัน ต้องถอนกลับไปให้หมดเสียก่อน จะไม่มีการคุยอะไรกัน จนกว่าการใช้ความกดดันต่างๆ ทั้งการใช้ผู้ที่ติดอาวุธ โล่มนุษย์ หรืออะไรต่างๆ ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ จะไม่มีการเจรจาใดๆทั้งสิ้น ด่านก็จะปิดต่อไป การดำเนินการต่างๆ ถ้าเพิ่มตรงไหนได้ จะเพิ่มด้วยซ้ำนอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนที่ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วว่าเมื่อเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตนได้สั่งไปยังว่าที่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ รมต. สำนักนายกรัฐมนตรี ให้กำกับดูแลสำนักงบประมาณให้เร่งประสานงานกับฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย และจังหวัด ให้เยียวยาให้ครบทั้งหมด รายครัวเรือน รวมถึงปั๊มน้ำมัน และสถานที่อื่นตามกฎหมาย และกรณีพบว่าทหารต้องใช้เงินส่วนตัวซื้ออาหาร ถ้าเป็นปัญหาเช่นนั้นจริงขอให้บอกมา ทหารอดไม่ได้วันเดียวกัน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาแถลงการณ์คัดค้านไทยเมื่อ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา อ้างว่าฝ่ายไทยพยายามบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศกับพลเมืองกัมพูชาในพื้นที่หมู่บ้านโจกเจย และหมู่บ้านไปรจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งกัมพูชามองว่าเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ และบันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2000 ขอยืนยันว่าพื้นที่ที่ไทยดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทยโดยชัดเจน ไม่ใช่พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง ขอย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เป็นสิทธิ์ของรัฐตามหลักการสากลที่ทุกประเทศยอมรับ และแท้จริงแล้วกัมพูชาคือผู้ละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ทั้งมาตรา 2 (3) ที่กำหนดให้รัฐสมาชิกต้องแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี แต่กัมพูชากลับมีพฤติการณ์ปลุกปั่น จัดฉาก และใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์ความรุนแรง อีกทั้งยังละเมิดมาตรา 2 (4) ด้วยการนำกำลังทหารพร้อมอาวุธรุกล้ำอธิปไตยไทย และลักลอบวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตามโฆษกกองทัพบกยังระบุอีกว่า ฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคารและชุมชนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ และบางส่วนอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย ไทยได้ประท้วงตามข้อกำหนด MOU กว่า 500 ครั้งตลอดแนวชายแดน แต่กัมพูชาเพิกเฉยตลอดเวลากว่า 20 ปี สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่าไทยดำเนินกิจกรรมบ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียด พลตรี วินธัยยืนยันว่า เป็นการใส่ร้าย เนื่องจากกัมพูชาเองที่สนับสนุนและปล่อยให้เกิดการชุมนุมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย มีพฤติกรรมก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ไทยจนได้รับบาดเจ็บหลายราย ฝ่ายไทยยึดมั่นการแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ไม่รุกรานใคร แต่จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของประเทศตามกฎหมายและหลักสากล เพื่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติด้านศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 21 ก.ย. เวลา 14.00 น. ตรวจพบโดรนบริเวณพื้นที่ปราสาทโดนตวล บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 3 ลำ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทย จัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อ ติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมตอบโต้ตามสถานการณ์ส่วนบรรยากาศชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ จ.ตราด กลุ่มรักชาติ จากจังหวัดตราด จันทบุรี ชาวบ้านตำบลชำราก พร้อมด้วยสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวตราด สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า สมาคมกู้ภัยสว่างบุญช่วยเหลือ จังหวัดตราด รวมกว่า 200 คน เดินทางไปยังกองร้อยทหารพรานนาวิกโยธินที่ 535 บ้านชำราก ต.ชำราก อ.เมืองตราด เพื่อให้กำลังใจทหารพราน มอบสิ่งของ มอบปูน มอบยางรถยนต์ และร่วมทำกระสอบทรายช่วยทำบังเกอร์ให้กับทหารพรานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวชายแดน จากนั้นทั้งหมดได้รวมตัวกันถือธงชาติ ถือป้ายที่มีข้อ ความว่า “ทวงคืน แผ่นดินไทย 17 จุด” “17 จุด เป็นของไทย ไม่ใช่ของเขมร” พร้อมร้องเพลงชาติไทย เพื่อแสดงสัญลักษณ์รักชาติ รักทหาร เมื่อเสร็จกิจกรรมแล้ว ทหารพรานได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาให้กำลังใจพร้อมประกาศว่า จะรักษาดินแดนไทยไม่ให้เสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียวขณะที่ จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ช่วงเช้าวันที่ 21 ก.ย. สถานการณ์ดูสงบเรียบร้อยดี ทั้งที่ บึงตะกวน อ.ตาพระยา บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง กระทั่งช่วงสาย มีรายงานว่า กำนันลี หรือนายโต สริน ได้เกณฑ์ชาวบ้านจากพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งเด็กและสตรี เข้าสู่พื้นที่ชายแดนตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้วอีกครั้ง การระดมคนครั้งนี้มีการทำอย่างเป็นระบบ เนื่องจากมี นายอุม เรียตรีย์ ผวจ.บันเตียเมียนเจย เข้ามามีบทบาทในการอำนวยความสะดวก โดยทางจังหวัดจัดรถบัสรับ-ส่งคนจากหลายหมู่บ้าน จัดเตรียมรถพยาบาลประจำพื้นที่ รวมทั้งสนับสนุนอาหารกลางวันและอาหารเย็นให้แก่ผู้ที่เข้ามารวมตัว เพื่อให้สามารถปักหลักอยู่ในพื้นที่ได้ตลอดทั้งวันจากนั้นในช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบชาวกัมพูชา รวม 2 จุด ประมาณ 500 คน มารวมตัวที่หมู่บ้านเปรยจัน ต.โอว์เบยจัน อ.โอว์จรว จ.บันเตียเมียนเจย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองหญ้าแก้วฝั่งไทยและทยอยเคลื่อนเข้ามาประชิดแนวลวดหนามของไทยอย่างต่อเนื่อง ชาวกัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นชายวัยแรงงานปะปนกับหญิงและเด็ก มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกัมพูชาควบคุมดูแลห่างๆ กระทั่งเวลา 15.20 น.จำนวนผู้รวมตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลายคนถือไม้กระบองและท่อนไม้ในลักษณะพร้อมปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทย สร้างบรรยากาศตึงเครียดและกดดันแนวรั้วลวดหนามบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ม็อบมีลักษณะจัดตั้งเป็นกลุ่มย่อยๆ แบ่งโซนตามสัญลักษณ์เสื้อผ้าและผ้าโพกหัว ด้าน กองกำลังบูรพา ยังคงตรึงกำลังเข้มที่แนวชายแดน มีการจัดกำลัง ทหารราบและชุดควบคุมฝูงชนประจำการ พร้อมทั้งใช้โดรนบินสำรวจพื้นที่เพื่อเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ขณะที่หลายครอบครัวในหมู่บ้านหนองหญ้าแก้วและพื้นที่ใกล้เคียง เริ่มเตรียมอพยพหากสถานการณ์ลุกลามบานปลายช่วงเวลาเดียวกัน นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน และกล่าวถึงหนังสือตอบโต้ระหว่าง ผวจ.สระแก้วกับ ผวจ.บันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ที่ขีดเส้นตายให้คนกัมพูชาย้ายออกจากพื้นที่ของไทยภายในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ว่าขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชี้แจงรายละเอียดเอง สิ่งสำคัญคือเราจะดูแลประชาชนตามแนวชายแดนให้ดีที่สุด พร้อมย้ำว่าหลักการทำงานคือ “แนวชายแดนต้องฟังทหาร หลังแนวชายแดนเป็นหน้าที่มหาดไทย” ส่วนการเจรจาระหว่างประเทศ อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงการต่างประเทศ ทุกหน่วยงานกำลังทำงานร่วมกันในฐานะทีมไทยแลนด์ มีเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศสำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มุ่งไปยัง ผวจ.สระแก้ว ว่าไม่สามารถจัดการสถานการณ์ชายแดนได้เรียบร้อยนั้น อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่าขอให้ประชาชนเข้าใจและให้กำลังใจ ยืนยันว่าผู้ว่าฯทำงานอย่างเต็มที่แล้ว และยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากทุกฝ่าย อย่าเพิ่งทัวร์ลงผู้ว่าฯ ความยากลำบากในพื้นที่ บางครั้งคนนอกอาจไม่เข้าใจ แต่ตนมั่นใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วทำเต็มที่แล้วอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่