การประชุมแก้ปัญหาประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อบัญชีม้า และถูกอายัดบัญชีธนาคารทุกบัญชีตามเลขบัตรประชาชนจนเดือดร้อนกันไปทั่ว โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงดิจิทัล แบงก์ชาติ ป.ป.ง. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สามาคมธนาคารไทย ตำรวจไซเบอร์ ประชุมเสร็จก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหยื่อบัญชีม้ายังต้องถูกอายัดบัญชีธนาคารเหมือนเดิม เพียงแต่ปลดล็อกให้เร็วขึ้นถ้าตรวจแล้วไม่มีความผิด เร็วที่สุดปลดล็อกได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ช้าที่สุดไม่เกิน 1 วัน ตั้งแต่ 15 ก.ย.เป็นต้นไปแต่ที่ประชุมกลับไม่มีการพิจารณาแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ” คือ “ต้นสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ซึ่งเป็น “ผู้ล่า” ทั้งที่ภาครัฐมีเครื่องมือมากมาย ทั้งไอทีและเอไอปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งการบังคับความร่วมมือจาก ค่ายโทรศัพท์มือถือ ที่สามารถรู้ที่อยู่ของผู้โทร.เข้ามาได้ทุกสถานที่ทั่วโลกเรื่องบัญชีม้า คุณปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “บัญชีม้า ธุรกิจสีดำ ธุรกิจสีเทา เศรษฐกิจนอกระบบ-ภัยร้ายกัดกร่อนรากฐานชาติ” ว่า นอกจากธุรกิจที่ผิดกฎหมายแล้ว ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบในระดับที่น่ากังวล ประเมินกันว่ามีสัดส่วนสูงถึง 50% ของ GDP ของประเทศ จัดเป็นอันดับต้นๆของโลกปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจเชิงตัวเลข แต่เป็นปัญหารากลึกที่เปิดช่องให้กับการทุจริตคอร์รัปชัน การฟอกเงิน และการหลอกลวงแบบเป็นระบบ เติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนคุณปิติ ได้ตั้งคำถามว่า “ทำไมบัญชีม้าจึงลุกลาม” และตอบให้เสร็จว่า การเปิดบัญชีที่ง่าย ดำเนินการโอนที่สะดวกรวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “พื้นที่อำนวยความสะดวก” สำหรับ เครือข่ายอาชญากรข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งที่อาจตั้งอยู่ในต่างประเทศ แต่ใช้บัญชีไทยเป็นศูนย์กลางการหมุนเงิน การหลอกลวงและการฟอกเงิน จึงทำได้หลายช่องทาง เช่น เงินสด ออกนอกระบบและหมุนเวียนในมือผู้รับโดยตรง เพราะการใช้เงินสดในประเทศไทยง่าย ไม่มีต้นทุน และแทบไม่มีข้อจำกัด (บ้านจัดสรรในเครือนักการเมืองขายกันหลังละ 100 ล้าน 200 ล้าน ด้วยเงินสด ซึ่งในยุโรปทำไม่ได้) คริปโตเคอร์เรนซี เข้าถึงง่าย โอนข้ามพรมแดนได้เร็ว เป็นจำนวนมาก ตรวจสอบไม่ได้ e-Wallet ใช้งานสะดวกสำหรับการรับ-จ่าย การตรวจสอบไม่เข้มข้น ทองคำ/สินทรัพย์ทางเลือก ใช้เป็นช่องทางสะสมมูลค่า และอยู่นอกระบบการตรวจสอบใดๆแก๊งมิจฉาชีพมืออาชีพมักใช้กลยุทธ์ “รากฝอย” คือแตกเงินเป็นรายการเล็กๆจำนวนมาก และกระจายไปยังบัญชีหลายบัญชีอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติ จะยากต่อการตามรอยเส้นทาง ทั้งหมดคือปัจจัยที่ทำให้ปัญหาแย่ลงการแก้ไขปัญหานี้ คุณปิติ ระบุว่า ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง ธนาคาร ภาครัฐ และหน่วยงานด้านความปลอดภัย ดำเนินมาตรการสำคัญ 5 ข้อ 1.Central Fraud Registry (ฐานข้อมูลกลางการทุจริต) เชื่อมข้อมูลระหว่างธนาคารเพื่อให้สามารถต่อเส้นทางการเงินและเห็นภาพรวมของการไหลของเงินได้เร็วและชัดเจนขึ้น 2.การจัดระดับบัญชีม้า กำหนดประเภทบัญชีม้าเป็นชั้นๆ เช่น “ม้าดำ ม้าเทา ม้านํ้าตาล” ตามระดับความชัดเจนของการกระทำผิด เพื่อให้การตอบสนองและการอายัดบัญชีมีความเร่งด่วนและตรงเป้า 3.Customer Profiling ตั้งเกณฑ์การใช้งานบัญชีให้เหมาะสมกับโปรไฟล์ผู้ใช้ เพื่อลดโอกาสบัญชีถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน หรือป้องกันผู้สุจริตถูกหลอกให้โอนเงินครั้งละมากๆ 4.ออกแบบกระบวนการแจ้งความแบบใหม่ AOC 1441 และ 5.ความร่วมมือข้ามหน่วยงานการแก้ปัญหานี้ต้องเดินควบคู่สองทาง คือ เทคโนโลยีและกฎหมายที่เข้มแข็ง กับ การเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน เพื่อแยกความชัดเจนระหว่างคนสุจริตกับคนทุจริตผมเห็นด้วยครับ ทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อไม่ให้“ประเทศไทย” กลายเป็น “พื้นที่อำนวยความสะดวกของโจรคอลเซ็นเตอร์”ที่สำคัญที่สุด ครม.ต้องไม่มี “ม้าเทา” ครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม