กระแสโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว “กำลังก่อเกิดปัญหาสุขภาพกลุ่มเปราะบางในเขตเมือง” ด้วยโครงสร้างที่หนาแน่นซับซ้อน กลับกลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้ต้องเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัย และการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นับวันยิ่งจะเพิ่มระดับคลื่นความร้อน พายุ น้ำท่วม หรือมลพิษทางอากาศ ซึ่งล้วนจะเข้ามาซ้ำเติมความเสี่ยงให้ทวีความรุนแรงเปรียบเสมือนผู้ฆ่าเงียบบ่อนทำลายกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วย ผู้มีรายได้น้อย หรือคนไร้บ้านที่รับผลกระทบมากที่สุด รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. ให้ข้อมูลระหว่าง Kick-off Enhance the Health Resilience of At-risk Communities against Climate Vulnerabilities in Critical Urban Centers of Thailand ว่า ความเปราะบางที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง กทม.ซึ่งเป็นเมืองใหญ่กำลังเผชิญผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจนตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “กทม.เลยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ” ทำให้มีฐานข้อมูลความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมนำมาสู่การพัฒนาแผนที่ความเสี่ยงครอบคลุมหลายพื้นที่แล้วสิ่งที่เผชิญช่วงไม่กี่ปีนี้คือ “ปรากฏการณ์ Rain Bomb” เป็นฝนหนักในระยะสั้นๆ แต่เกินขีดความสามารถระบบระบายน้ำ กทม.ที่มีบริบทข้อจำกัด แม้จะมีท่อระบายน้ำกว่า 7,000 กม. คลองอีก 1,980 แห่ง ก็ตามอีกทั้งมีการล้างเพิ่มประสิทธิภาพการรองรับของท่อขนาด 60-100 มิลลิเมตร และมีอุโมงค์ระบายน้ำสร้างเสร็จ 4 แห่ง อยู่ระหว่างสร้าง 4 แห่ง แต่ฝน rain bomb ก็ยังเกินความสามารถของระบบในพื้นที่มีระดับต่ำเช่นเดิมปัญหานี้ส่งผลโดยตรงต่อ “กลุ่มเปราะบางในเขตเมือง” ทำให้เป็นโจทย์สำคัญในการวางแผนรับมือภัยพิบัติให้ครอบคลุมในอนาคต เพราะปัจจุบันบางครั้งมักเกิดปรากฏการณ์ผิดปกติขึ้นบ่อยๆ เช่น ลมแรงใน กทม. มาอย่างไม่คาดคิดส่งผลต่อระบบไฟฟ้าบางพื้นที่ไม่มีไฟใช้นานถึง 24 ชม. หรือในบางคืนไฟดับติดต่อกัน 12 ชม.ก็มีเหตุล่าสุด “พายุเข้ามาเพียงครั้งเดียว” ทำให้ต้นไม้ใน 17 เขต กทม.โค่นล้มลงพร้อมกัน และบางส่วนก็ล้มทับบ้านเรือนของประชาชนจนต้องติดอยู่ภายในบ้านไม่สามารถออกมาได้ สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากสิ่งนี้แสดงให้เห็น “ความรุนแรงปรากฏการณ์ธรรมชาติบางส่วนเป็นภัยเกิดขึ้นซ้ำๆ” ที่เรารู้จักดีแต่ยังรับมือได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันเริ่มมีภัยรูปแบบใหม่ไม่เคยเกิดมาก่อนเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปีที่แล้วมีรายงานค่าดัชนีความร้อนบางพื้นที่สูงถึง 53-55 องศาฯ ส่งผลกระทบรุนแรงแบบที่ไม่เคยเจอมากมาย“เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้กระทบแค่ความเปราะบางของคนโดยตรง แต่ยังก่อผลกระทบทางอ้อม เช่น การเกิดไฟไหม้กองขยะ หรือปัญหาในโรงงานสารไวไฟที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาที่เรายังไม่สามารถหาคำตอบชัดเจนได้ว่าจะรับมืออย่างไรให้ตรงจุด” รศ.ทวิดาว่าเหตุนี้ กทม.ก็สนับสนุนแนวคิดการทำงานแบบ “4 เกลียว” จากเดิมเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน (PPP) ตอนนี้ เสนอให้เพิ่มภาควิชาการเข้าไปด้วยเป็นเกลียวที่ 4 และในฐานะเคยเป็นอาจารย์เข้ามาทำงานบทบาทรองผู้ว่าฯ กทม. รู้สึกว่าภาควิชาการเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการช่วยหาคำตอบเชิงลึกเพราะเป็นกลุ่มที่ฉลาดและเป็นกลุ่มเดียวที่ทำงานกับองค์ความรู้ ต่อเนื่อง ด้วยนโยบาย กทม. มักเป็นแบบ research-based “เราไม่เคยนั่งเทียนทำนโยบาย” จึงต้องการความแข็งแรงในเชิงข้อมูลและงานวิชาการมาก แล้วกรุงเทพฯพยายามสร้างพื้นฐานการจัดทำข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาจนนำมาซึ่งความร่วมมือของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ และเครือข่ายมหาวิทยาลัย 19 แห่งนี้โดย ดร.พิจิตต รัตตกุล ประธานเครือข่าย 19 มหาวิทยาลัย ด้านการจัดการภัยพิบัติ บอกว่าปัญหาสุขภาพของกลุ่มเปราะบางในเขตเมืองกำลังเป็นประเด็นสำคัญท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และคำถามที่เกิดขึ้นคือ “เหตุใดประชากรกลุ่มนี้มีแนวโน้มได้รับผลกระทบด้านสุขภาพมากกว่าคนกลุ่มอื่น?” ก็เพราะโครงสร้างเมืองเต็มไปด้วยความแออัด และความไม่เท่าเทียมการเข้าถึงบริการสุขภาพทำให้สิ่งแวดล้อมเขตเมืองเสื่อมโทรมรุนแรงเอื้อ “การเกิดปัญหาสุขภาพ สุขภาวะกลุ่มเปราะบางย่ำแย่” เช่นนี้จึงมีโครงการศึกษาและแก้ไขปัญหาเป็นระบบ 1 ปีครึ่ง ซึ่งมีผู้มีส่วนร่วมทั้งวิจัย งานภาคสนาม การพัฒนาแนวทางเชิงนโยบาย เพื่อสร้างระบบข้อมูล และเครื่องมือช่วยให้คนเปราะบางเข้าถึงทรัพยากร และความรู้ได้ง่ายขึ้นทว่าโครงการนี้มีหลัก 3 ประการ ครอบคลุมทั้งระดับนโยบายข้อมูล และการมีส่วนร่วมชุมชน คือ 1.การสร้างระบบข้อมูลที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการปกป้องตนเองจากผลกระทบของ climate change ในมิติสาธารณสุขที่ช่วยเปลี่ยนความไม่รู้ให้กลายเป็นความรู้เพื่อปกป้องจาก “ภัยมองไม่เห็น” อย่างอาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า “ภัยคุกคาม” ที่คนเปราะบางในเมืองเผชิญจาก Climate Change เปรียบเสมือนผู้ฆ่าเงียบที่ค่อยๆทำลายชีวิต และสุขภาพของผู้คนอย่างช้าๆแต่ลึกซึ้ง ประการที่สอง...“จัดทำแผนที่เสี่ยงภัยความร้อน และน้ำ” โดยอาศัยข้อมูลที่ กทม.มีอยู่แล้วในรูปแบบดิจิทัลจากนโยบายการเปลี่ยนผ่านของผู้ว่าฯ กทม.ในปัจจุบันแล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึกและพัฒนาแผนที่เสี่ยงภัยให้มีความแม่นยำและเข้าใจง่าย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือวางแผนเชิงพื้นที่ และเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพประการที่สาม...“การพัฒนาแผนรับมือโดยชุมชน” อีกหนึ่งเป้าหมายในการทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายของ กทม. เพื่อให้ประชาชนในชุมชนสามารถร่วมกันออกแบบแผนรับมือกับภัยจาก climate change ที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เน้นการมีส่วนร่วมเป็นหัวใจหลักไม่ใช่การรับแผนจากภายนอกอย่างเดียวหากว่าทั้ง 3 เป้าหมายบรรลุใน 1 ปีครึ่งตามแผนจะขยายผลไปมหาวิทยาลัยเขตเมืองใหญ่ในพื้นที่เสี่ยงคล้ายคลึงกับ กทม.ที่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้นี่เป็นการรับมือกับ “ความเปราะบางด้านสุขภาพของคนในเมือง” ไม่อาจพึ่งระบบสาธารณสุขเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบายและแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทของเมือง บนฐานของข้อมูล ความรู้ และความเข้าใจที่รอบด้าน...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม