กองทัพไทยสูญเสียทหารอีก 1 นาย เป็นทหารเรือที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. ผบ.ทร.สั่งช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ ด้านโฆษก ทบ.ซัดกัมพูชาไม่ เข้าใจหลักปฏิบัติในระบบของสากล หลังทวงไม่เลิก 18 เชลยศึก ยันไทยปฏิบัติตามหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมสากล คงควบคุมตัวไว้จนกว่าสถานการณ์การหยุดยิงจะสมบูรณ์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ขณะที่แม่ทัพภาค 2 ย้ำพบทหารเขมรล้ำแดนมาตั้งแต่รับตำแหน่งปี 67 พร้อมแจงเหตุเข้าไม่ถึงตัวปราสาทตาควาย และยอมรับเห็นใจกัมพูชา คาดเสียทหารไม่ต่ำกว่า 3 พันนาย แต่ยังพบมีการบินโดรนเข้ามาสอดแนมเรื่อยๆแม้สถานการณ์การปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชายุติมาร่วม 2 สัปดาห์ และประชาชนที่อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ทยอยกลับเข้าบ้านเพื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ยังต้องเฝ้าระวังระเบิดที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาในไทย ซึ่งพบตกค้างตามพื้นที่ต่างๆ รวมถึงทุ่นระเบิดที่พบมีการวางไว้ตามแนวชายแดนไทยอีกเป็นจำนวนมากให้ความรู้เรื่องทุ่นระเบิดทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. พ.อ.หญิงฉัตรรพี พูนศรี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ดำรงความต่อเนื่องในการปฏิบัติภารกิจด้านการแจ้งเตือน และให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากทุ่นระเบิด จัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่พบปะประชาชนในเขตเป้าหมาย เพื่อสร้างความตระหนัก สร้างความรู้ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้ประชาชนสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากทุ่นระเบิดที่อาจอยู่ในพื้นที่ซึ่งเคยเกิดการปะทะ การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก่อนการเคลื่อนย้าย ออกจากพื้นที่พักพิงกลับสู่ภูมิลำเนาของแต่ละครอบครัว ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นวัตถุระเบิด วัตถุต้องสงสัย หรือสิ่งผิดปกติในพื้นที่ ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ทันที เพื่อให้ดำเนินการเก็บกู้และทำลายอย่างปลอดภัยกัมพูชาโต้ไม่ได้วางทุ่นระเบิดอย่างไรก็ตาม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ระบุถึงการแถลงของนายชุม ซอนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชาที่ปฏิเสธคำแถลงของทางการไทยที่ว่า กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่จนทำให้ทหารไทย 3 นาย ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา ระบุว่าตอนนี้ยังไม่มีการสอบสวนที่โปร่งใสและเชื่อถือได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ฝ่ายไทยกล่าวอ้าง และกัมพูชาขอให้ฝ่ายไทยยับยั้งชั่งใจและหลีกเลี่ยงการกล่าวหาใดๆ เร็วเกินไปต่อสาธารณะ เป็นการเสี่ยงต่อการทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และบั่นทอนเจตนารมณ์ของข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง 2 ประเทศทร.ยืนยันกำลังพลเสียชีวิตด้าน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความ และรูปภาพระบุว่า กองทัพเรือสูญเสียวีรบุรุษกล้า ว่าที่เรือตรี ภัชทราวุฒิ รัตนวงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุการเตรียมอาวุธที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่า ว่าที่เรือตรีภัชทราวุฒิ รัตนวงษ์ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นกำลังทหารเรือที่เข้าไปช่วยสนับสนุนกำลังรบทางบกปฏิบัติการร่วม ก่อนเกิดเหตุเป็นช่วงระหว่างตรวจสอบความพร้อมของอาวุธเกิดอุบัติเหตุขึ้นในฐานที่ตั้ง ก่อนมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลระบุเหตุเกิดตั้งแต่ 2 ส.ค.ต่อมา พล.ร.อ.พาสุกรี วิลัยรักษ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงการเสียชีวิตของว่าที่เรือตรีภัชทราวุฒิ รัตนวงษ์ ตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดป้องกัน ร้อย บก. กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยาน และรักษาฝั่ง ทำหน้าที่ ผู้บังคับหมวดป้องกัน กองพันต่อสู้อากาศยานเฉพาะกิจป้องกันภัยทางอากาศส่วนหลัง ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ว่ากองทัพเรือได้รับรายงานแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ส.ค. เวลา 19.00 น. ขณะที่ว่าที่เรือตรีภัชทราวุฒิ กำลังปฏิบัติภารกิจในการตรวจสอบความพร้อมของอาวุธได้เกิดอุบัติเหตุ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และภายหลังเกิดเหตุ ได้รับการส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในพื้นที่ผบ.ทร.สั่งดูแลครอบครัวเต็มที่โฆษกกองทัพเรือกล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. เวลา 22.15 น. ว่าที่เรือตรีภัชทราวุฒิได้ถูกส่งเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี คณะแพทย์ได้รักษาอย่างสุดความสามารถ แต่ว่าที่เรือตรีภัชทราวุฒิได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ในนามของกองทัพเรือ ขอแสดงความอาลัยต่อการสูญเสียในครั้งนี้ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้แสดงความเสียใจและสั่งการให้เร่งดำเนินการ ตามระเบียบในการดูแลสิทธิและสวัสดิการ พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทบ.โต้กัมพูชากรณี 18 เชลยศึกส่วนกรณีกัมพูชายังคงออกมาเรียกร้องให้ไทยส่งเชลยทหารกัมพูชา 18 ราย กลับประเทศนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาอาจไม่เข้าใจหลักปฏิบัติในระบบของสากล ยืนยันการปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เชื่อว่าประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศเข้าใจ และไม่ได้มีความกังวลใดๆ ฝ่ายไทยเปิดโอกาสให้องค์กรสากลเข้าเยี่ยมได้ตลอดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฝ่ายไทยมีการควบคุมตัว เช่น คณะผู้แทนจาก ICRC ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ด้านการคุ้มครอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เจ้าหน้าที่โครงการของ ICRC และล่าม รวม 4 คน เพิ่งเข้าไปเยี่ยมยืนยันว่า การควบคุมทหารกัมพูชาทั้ง 18 คน เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ไม่ใช่การควบคุมตัวผิดกฎหมายตามที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาอ้างรอกัมพูชาแสดงความจริงใจโฆษกกองทัพบกกล่าวอีกว่า ทั้งนี้การถูกควบคุมตัวจำเป็นต้องคงไว้จนกว่าสถานการณ์การหยุดยิงหรือสถานการณ์การสู้รบจะสมบูรณ์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมดจะไม่หวนกลับมาทำการสู้รบกับฝ่ายไทยอีก เป็นไปตามแนวทางหลักสากล และเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชายังมีเรื่องสำคัญอื่นที่ควรให้ความสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจให้เป็นที่ประจักษ์ ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงรบ.ย้ำเยียวยาต้องไม่มีตกหล่นส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันความพร้อมในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีผู้เสียชีวิตที่เป็นประชาชนรายละ 8 ล้านบาท และข้าราชการทหาร-ตำรวจ รายละ 10 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบาดเจ็บ สาหัส บาดเจ็บเล็กน้อย ทุพพลภาพ จะได้รับการเยียวยาเช่นกัน โดยไม่มีตกหล่นแน่นอน และในส่วนของหน่วยงานราชการต้นสังกัดอย่างกระทรวงกลาโหม จะดูแลครอบครัวญาติของข้าราชการทหารที่เสียชีวิต ให้ได้รับสวัสดิการต่างๆ สิทธิการรับราชการเป็นกรณีพิเศษ เพื่อตอบแทนคุณความดีจ่อชง ครม.เยียวยาลอต 2นายจิรายุกล่าวว่า สำหรับการเยียวยาบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายนั้น ทั้งความเสียหายทางการเกษตร ปศุสัตว์ และบ้านเรือนของประชาชน อยู่ระหว่างรวบรวมเสนอ ครม.เยียวยาครั้งที่ 2 ส่วนการเยียวยาร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ ที่ได้รับเสียหายจากฝั่งกัมพูชานั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แจ้งว่า เหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาวะสงคราม เป็นเหตุการณ์ปะทะตามชายแดนเท่านั้น ดังนั้น บริษัทประกันจะปฏิเสธการคุ้มครองไม่ได้ ต้องรับผิดชอบผู้เสียหายที่ได้ทำประกัน ส่วนประชาชนที่ได้ทำประกันภัยไว้ ขอให้เร่งตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของตนอีกครั้ง“ทักษิณ” มอบโดรน 10 ชุดอีกด้านหนึ่ง ที่ห้องรับรองกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ค่ายสุรนารี อ.เมืองนครราชสีมา เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ท.บุญสิน พาดกลาง มทภ.2 เป็นผู้แทนกองทัพบก (ทบ.) รับมอบอากาศยานไร้คนขับ จำนวน 10 ชุด มูลค่ารวม 3,000,000 บาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และงบประมาณสนับสนุน จำนวน 50,000 บาท จากคณะนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 มี พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนในการส่งมอบ พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ในนามของ ทบ. และ ทภ.2 ขอขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบอุปกรณ์ให้ในวันนี้ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อนำไปช่วยเสริมศักยภาพในการลาดตระเวน ป้องกันตัวเองของทหาร และปกป้องชายแดน เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินของเราสืบไปมทภ.2 ชี้กัมพูชาล้ำแดนมาเป็นปีต่อมา ที่สโมสรร่วมเริงชัย ทภ.2 พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นตัวแทนรับมอบเครื่องเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภคจากนายวันมู หะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พร้อมรับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค และโดรนจากภาคเอกชน เพื่อส่งมอบต่อไปให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทยได้ร่วมมอบเงินสนับสนุนให้แก่กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 3 แสนบาท จากนั้น แม่ทัพภาคที่ 2 ได้บรรยายสรุปสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด ให้กับผู้ที่ร่วมมอบสิ่งของ ว่า ตอนที่ตนเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พบว่าฝ่ายกัมพูชามีการวางกำลังรุกล้ำเข้ามาจากเส้นเขตแดนไทยราว 100-150 เมตร คือการล้ำเขตแดนครั้งแรกที่ตนไม่อาจยอมรับได้ และตั้งใจที่จะผลักดันให้ออกไป แม้ฝ่ายไทยจะพยายามเจรจาให้ถอนกำลัง แต่ไม่เป็นผล ตนตัดสินใจปิดด่าน ซึ่งได้รับคำยืนยันจากฝ่ายกัมพูชาว่า จะถอนกำลังหากเปิดด่าน แต่หลังจากการเจรจาและเปิดด่าน ทหารไทยกลับเหยียบทุ่นระเบิดที่ช่องบก และต่อมาเกิดเหตุเหยียบกับระเบิดซ้ำที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาไม่เคารพอนุสัญญาออตตาวาแจงเหตุเข้าไม่ถึงปราสาทตาควายสำหรับเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม แม่ทัพภาค 2 ระบุว่า ในอดีตเคยเปิดให้ประชาชนทั้งสองประเทศขึ้นมาสักการะได้ แต่เกิดความวุ่นวายจนคนไทยและกัมพูชามีแนวโน้มจะปะทะกัน ตัดสินใจปิดปราสาท การปิดครั้งนั้นเท่ากับการประกาศสงคราม นำไปสู่การยิงปะทะกัน ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ในช่วงระยะเวลา 4 วันที่เกิดเหตุการณ์ ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรามีเป้าหมายที่ฝ่ายเราต้องปฏิบัติการอยู่ 11 ที่หมาย เกือบทุกที่หมายเรายึดครองได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งฐานอยู่ใกล้ตัวปราสาท และมีการวางกับระเบิดไว้หน้าแนว ปราสาทตาควายยังเป็นปราสาทเดียวที่เรายังคงตรึงกำลังอยู่ห่างออกมาประมาณ 30 เมตร เรายังเข้าไปยึดในตัวปราสาทไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังเข้มแข็ง และภูมิประเทศเราก็เสียเปรียบ ขั้นตอนต่อไปทั้งสองฝ่าย ต้องไปพูดคุยกันในระดับรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไรกันต่อไปคาดกัมพูชาเสียทหารไม่ต่ำ 3 พันทั้งนี้ ระหว่างการบรรยายสรุปสถานการณ์ได้มีผู้ถามแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า เหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ กำลังพลฝ่ายกัมพูชาสูญเสียมากน้อยแค่ไหน แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า ไม่ต่ำกว่า 3,000 นาย ก็สูญเสียเยอะ เพราะเขาเข้ามาทีละเยอะๆ เห็นใจฝ่ายเขา แต่เขาปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำของเขาย้ำต้องจับคนบินโดรนให้ได้พลโทบุญสินยังกล่าวถึงสถานการณ์เรื่องโดรนขณะนี้ว่าแยกเป็น 2 ส่วน คือ โดรนบริเวณชายแดน และโดรนบริเวณพื้นที่ตอนใน โดรนที่ชายแดน เป็นเรื่องของยุทธวิธี ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายกัมพูชาก็มีเหมือนกัน ทุกวันนี้จะใช้โดรนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อยากฝากไปทางรัฐสภาในเรื่องโดรน น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ของชาติได้ ส่วนเรื่องโดรนที่ขึ้นบินในพื้นที่ตอนใน มีการจับกุมได้ทั้งคนไทย คนจีน และคนกัมพูชา มาในรูปแบบของฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องวางสายข่าวไว้ ในการเข้ามาหาที่ตั้งของสนามบิน บ้านผู้นำทางทหาร คลังกระสุน คลังระเบิด ทางฝ่ายเราได้แจ้งไปทางผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 20 จังหวัด ในภาคอีสานทำงานบูรณาการร่วมกับตำรวจ จัดหาเครื่องมือแอนตี้โดรน และค้นหาบุคคลที่บินโดรนให้ได้ หากจับกุมคนบินโดรนได้ ตำรวจต้องสอบสวนไปให้สุด อย่าเพิ่งปล่อยตัว และสรุปเร็วเกินไป เพราะตนเชื่อว่าคนที่บินโดรนใกล้กับสนามบิน และคลังอาวุธ ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา พวกเราทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะโดรนใช้หาข้อมูลพิกัดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และเขาจะสามารถตั้งพิกัดในขีปนาวุธได้ นี่คือเหตุผลที่เขาบินโดรน เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว ในวันข้างหน้าเราอาจจะต้องมีบ้านใต้ดินไว้a ทำลาย BM—21 ตกในทุ่งนาขณะที่ช่วงสายวันเดียวกัน หน่วยงานฝ่ายปกครอง-ฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย ตร.ภ.จ.อุบล ราชธานี และตำรวจ สภ.น้ำยืน และ EOD กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 ร่วมเดินทางไปที่บ้านห้วยแก้ว ต.สีวิเชียร อ.น้ำยืน ตรวจสอบบริเวณทุ่งนาที่พบจรวด BM-21 ที่ยิงจากฝั่งกัมพูชามาตกบริเวณทุ่งนาและระเบิดไม่สมบูรณ์ โดยจุดแรกที่พบลักษณะเป็นหลุมลึกลงไปประมาณ 1.5 เมตร ที่มีหัวจรวดฝังอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องวิดน้ำและตักดินโคลนออกจากหลุม และใช้เครื่องตรวจโลหะสแกนลงไปบริเวณด้านในหลุม ก่อนนำระเบิดซีโฟร์ ขนาด 8 ปอนด์ หรือ 3.6 กก. ไปวางไว้ในหลุม แล้วจุดชนวนไฟฟ้าทำลายจรวด BM-21 ทำให้เกิดหลุมกว้างบริเวณปากบ่อขนาด 10 เมตร ตร.ได้เก็บซากชิ้นส่วนหัวจรวดไปตรวจสอบ เพื่อนำไปประกอบเป็นหลักฐานทางคดี ส่วนจุดที่ 2 เจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์สำรวจและขุดค้นหาแต่ไม่พบ ยกเลิกการค้นหาในช่วงเวลา 12.30 น. ทั้งนี้ ในอำเภอน้ำยืนมีหัวจรวด BM-21 ตกรวมทั้งหมด 63 หัว เจ้าหน้าที่เร่งทำลายทั้งหมดแล้ว และหากมีชาวบ้านแจ้งเข้ามาเพิ่ม ก็จะเข้าทำลายต่อไป3 อำเภอบุรีรัมย์ได้รับผลกระทบส่วนที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบุรีรัมย์ ต.ในเมือง อ.เมืองบุรีรัมย์ นายอรรถกร ศิริลัทธิยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีปล่อยขบวนหญ้าอาหารสัตว์พระราชทานแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 5 ตัน เพื่อนำออกไปมอบแจกจ่ายช่วยเหลือเกษตรกร พร้อมมอบนโยบายในการแก้ไขปัญหาและหาทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจนต้องอพยพไปอยู่ที่ศูนย์พักพิง และมีจำนวนหนึ่งที่สัตว์เลี้ยงล้มตายจากการถูกยิงของทหารกัมพูชา รวมถึงพืชไร่ของเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายในลักษณะเดียวกัน นายอรรถกรกล่าวว่า จากรายงานข้อมูลจากปศุสัตว์จังหวัด บุรีรัมย์ เหตุปะทะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบ้านกรวด 118 หมู่บ้าน 9 ตำบล เกษตรกร 220 ครัวเรือน อำเภอละหานทราย 84 หมู่บ้าน 6 ตำบล เกษตรกร 359 ครัวเรือน และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ 27 หมู่บ้าน 2 ตำบล เกษตรกร 11 ครัวเรือนวัว—หมูตายจากระเบิดกัมพูชานายอรรถกรกล่าวอีกว่า ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีการช่วยเหลือด้วยการจัดส่งเสบียงอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์ รวมถึงหญ้าแห้งอัดฟ่อน 38,600 กก. หญ้าหมัก (TMR) 12,000 กก. อาหารสุกร 1,500 กก. อาหารโค—กระบือ 480 กก. อาหารสุนัข—แมว 520 กก. ทำให้สัตว์เลี้ยงกว่า 4,672 ตัว ที่ได้รับการดูแล แต่ยังมีความสูญเสีย คือ โคตาย 3 ตัว และสุกรตาย 5 ตัว ของเกษตรกร 2 ราย จากการยิง BM-21 ในพื้นที่อำเภอบ้านกรวด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์จะได้มีการมอบเงินช่วยเหลือเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบรวมเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมกันนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานสำรวจความเสียหายทุกพื้นที่อย่างรอบคอบ แม้บางจุดยังเข้าไม่ถึงเพราะอันตราย แต่ต้องเร่งดำเนินการสำรวจให้ครบถ้วนและไม่ตกหล่นพร้อมบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย ใช้กองทุนต่างๆเพื่อเยียวยาเกษตรกร ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ลดผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ และวางมาตรการชดเชยในทุกมิติต่อไปทหารตรึงกำลัง 2 ปราสาทโบราณส่วนที่ จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะคลี่คลายลงจากการเจรจาหยุดยิงของทั้ง 2 ประเทศแล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากทหารกัมพูชายังคงมีความเคลื่อนไหวและเสริมกำลังอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณชายแดนด้านปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะที่ทหารไทยยังตรึงกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยอยู่เช่นเดิม ขณะเดียวกัน ประชาชนจากทั่วประเทศยังคงส่งสิ่งของไปมอบให้ จนท.ทหาร ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 อ.เมืองสุรินทร์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปแจกจ่ายส่งต่อให้กับ จนท. ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ และ จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะตาข่ายป้องกันวัตถุระเบิดจากโดรน และเต็นท์ผ้าใบกันฝน ที่ทหารตลอดแนวชายแดน มีความต้องการเป็นจำนวนมากต้องการตาข่าย–ผ้าใบอีกเยอะพ.อ.ธนาคม เลื่อนทอง หัวหน้ากองกิจการพลเรือน มทบ.25 ค่ายวีรวัฒน์โยธิน กล่าวว่า ตาข่ายที่ใช้ป้องกันบุคคลและยุทโธปกรณ์ของทหาร ป้องกันระเบิดจากโดรนต่างๆ จากหนักเป็นเบา หากคนไทยต้องการบริจาคเพื่อเซฟชีวิตทหารไทยและเซฟยุทโธปกรณ์ สามารถบริจาคได้ รวมทั้งผ้าใบกันฝนสีเข้ม สีเขียวขี้ม้า เพื่อใช้กางกันฝน กันแดดได้ เพื่อลดความลำบากของทหารในพื้นที่แนวหน้า นอกจากนี้ ยังมีความต้องการชุดชั้นในชาย ถุงเท้าและแป้งโยคีจำนวนมากเช่นกัน ประชาชนสามารถบริจาคมาได้ที่กอง บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 อ.เมืองสุรินทร์ หรือโทรศัพท์สอบถามมาได้ที่หมายเลข 0-4451-1008ผู้อพยพทยอยกลับภูมิลำเนาสำหรับบรรยากาศที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ใน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ตลอดวันที่ 10 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนที่อพยพไปอยู่ตามศูนย์พักพิงได้ทยอยกลับเข้าบ้านตัวเองอีกครั้ง โดยที่บ้านเลขที่ 159 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง หลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ถูกจรวด BM-21 ของทหารกัมพูชายิงใส่ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ประกอบด้วย นายบัณฑิต อุ่นจิตร อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83/2 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง เสียชีวิตจากระเบิด ด.ช.ธิติวัฒน์ บุญแต่ง หรือน้องน้ำโขง อายุ 8 ขวบ อยู่บ้านเลขที่ 159 บ.โจรก เสียชีวิตจากระเบิดนายอภิสิทธิ์ บุญแต่ง อายุ 30 ปี บ้านเลขที่ 159 บ.โจรก บาดเจ็บสาหัส และ ด.ญ.ฐิติญา บุญแต่ง หรือน้องน้ำค้าง อายุ 9 ขวบ บาดเจ็บแผลฉีกขาดและถลอกตามร่างกาย ซึ่งผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้นแล้วระเบิดลงบ้านหลานตาย 2 ศพจากการเปิดเผยของนายสุที บุญแต่ง อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นตาของน้องน้ำโขง วัย 8 ขวบ ที่เสียชีวิต ระบุว่าวันเกิดเหตุตนเอาควายไปผูก รับปากหลานว่าจะพาไปดูการแข่งขันกีฬาที่โรงเรียน แต่เมื่อนำควายไปได้ครึ่งทาง ทราบว่าครูที่โรงเรียนให้ผู้ปกครองมารับเด็กกลับบ้าน ตอนเกิดเหตุได้ยินเสียงระเบิดดังไกลๆแล้ว คิดว่าคงไม่มาลงพื้นที่เรา ระหว่างนั้นยายไปรับหลานกลับบ้าน ได้ยินเสียงระเบิดดังที่บ้าน สักพักหลานมาบอกว่าให้กลับบ้านว่าบ้านถูกระเบิด พอผูกควายเสร็จ ตนวิ่งมาดูที่บ้าน ก็เห็นข้าวของระเนระนาด คนนอนจมกองเลือด ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก สับสนวุ่นวายไปหมด มีคนเสียชีวิต 2 คน เป็นหลานแท้ๆ อายุ 8 ขวบ กับหลานห่างๆ อีกคนอายุ 34 ปี นอนจมกองเลือดอยู่หน้าบ้านวอนโลกประณามผู้นำกัมพูชานายสุทีกล่าวอีกว่าวันนั้นที่บ้านอยู่ 6 คน รวมกับน้องบัณฑิต ผู้บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สุรินทร์ ส่วนที่พักอาศัยยังไม่มี การเยียวยาจากรัฐบาลถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง ดีกว่าเราสูญเสียโดยไม่ได้อะไรเลย แต่ถามว่าคุ้มมั้ย ไม่มีคำว่าคุ้ม ให้เรามีแค่กำลังใจในการต่อสู้ต่อไปวันข้างหน้า ส่วนความรู้สึกเกี่ยวกับกัมพูชา ฮุน เซน กับฮุน มาเนต เป็นคนบงการแน่นอน ขอให้ชาวโลกรุมประณามด้วยให้เขารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนร่างผู้เสียชีวิตถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องเย็นของโรงพยาบาล รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาต่อไปคณะรัฐมนตรีเยี่ยมจุดระเบิดตกขณะที่ จ.ศรีสะเกษ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และนางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เดินทางไปยังสถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เพื่อวางดอกไม้ไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จรวด BM-21 ของฝ่ายกัมพูชา ที่ยิงตกใส่ร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมัน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยคณะรัฐมนตรีได้พูดคุยกับนางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านผือ เพื่อรับฟังเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุอย่างละเอียด และรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอแก่รัฐบาลในการวางแนวทางการฟื้นฟูและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านทรัพย์สิน กิจการ ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพนักงานของสถานีบริการน้ำมัน พนักงานร้านกาแฟ และร้านสะดวกซื้อ บางส่วนเป็นผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้มอบของช่วยเหลือบ้านที่เสียหายจากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านภูมิซรอล หมู่ 13 ต.เสาธงชัย เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน พร้อมมอบสิ่งของจำเป็นแก่ชาวบ้านที่เพิ่งเดินทางกลับเข้าบ้านตนเองเกือบทุกครัวเรือน ภายหลังผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษปิดศูนย์อพยพไปเมื่อช่วงเย็นวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา และส่งประชาชนกลับมาดูแลบ้านเรือน รวมถึงตรวจสอบทรัพย์สิน ปรากฏว่าหลายครัวเรือนได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่ ในโอกาสนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบสิ่งของช่วยเหลือให้แก่นางสาวรุ่งทิพย์ เสนาพันธุ์ อายุ 41 ปี บ้านเลขที่ 201 หมู่ 13 ต.เสาธงชัย ซึ่งบ้านได้รับความเสียหายทั้งหลังจากแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ โชคดีที่ได้อพยพออกมาก่อน จึงไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินภายในบ้านได้รับความเสียหายทั้งหมด โดยเฉพาะเสื้อผ้าของลูกค้าที่ใช้บริการร้านซักรีดภายในบ้านชาวบ้านบางรายสูญเสียหนักส่วนที่บริเวณฝั่งเขาพระวิหาร โดยเฉพาะพื้นที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เริ่มกลับมามีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง เมื่อชาวบ้านทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนา หลังต้องอพยพออกจากพื้นที่กว่า 2 สัปดาห์ ช่วงเกิดเหตุสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดน อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแม้หลายคนจะกลับบ้านด้วยความคิดถึงและหวังจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่บางครอบครัวกลับต้องเผชิญกับความสูญเสีย เช่น นายกุลนที ใจเครือ อายุ 45 ปี ที่เดินทางกลับมาตรวจสอบบ้านของญาติ ได้รับความเสียหายหนักจากกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา โดยนายกุลนทีเปิดเผยว่า เหตุปะทะเกิดขึ้นเมื่อช่วงสายวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะตนอยู่ในสวนยางพารา ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นหลายนัด รีบออกจากสวนเพื่อพาครอบครัวอพยพไปยังที่ปลอดภัย เริ่มต้นที่บ้านเอื้ออาทรในตัวอำเภอกันทรลักษ์ แต่เนื่องจากวิถีกระสุนระยะไกลได้ครอบคลุมพื้นที่กว้าง ต้องย้ายไปอยู่ในจุดอพยพที่ห่างออกไปอีกใจสลายบ้านถูกบอมบ์พังทั้งหลังนายกุลนทีเปิดเผยว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของน้า ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ตนเข้ามาตรวจสอบสภาพบ้านแทน พบว่าทั้งโครงสร้างไม้และปูนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ประตู หน้าต่าง กระจก และหลังคาถูกกระสุนถล่มจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว คาดว่าอาจต้องทุบทิ้งและสร้างใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ นายกุลนที กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยว่าบ้านหลังนี้มีอายุกว่า 40 ปี เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นปู่มาสู่รุ่นพ่อและรุ่นลูก เต็มไปด้วยความทรงจำของครอบครัวการต้องเห็นบ้านในสภาพนี้ เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจยอมรับได้กองกำลังบูรพาวางลวดหนาม 9.8 กม.ส่วนที่ จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงาน กองกำลังบูรพา ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ (ฉก.อรัญ ประเทศ) ได้เร่งติดตั้งรั้วลวดหนามหีบเพลงตลอดแนวชายแดนในพื้นที่คลองพรหมโหด เพื่อสกัดกั้นและป้องกันการลักลอบข้ามแดนของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย รวมถึงขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มักใช้ช่องทางธรรมชาติเป็นเส้นทางหลบหนี โดยรั้วลวดหนามถูกติดตั้งตั้งแต่จุดตรวจอรัญประเทศ 20 (สะพานคลองลึก) ไปจนถึงจุดตรวจอรัญประเทศ 31 รวมระยะทาง 9.8 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ ถือเป็น “จุดล่อแหลม” เนื่องจากมีภูมิประเทศเอื้อต่อการซ่อนตัวและเคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย การเสริมแนวรั้วในครั้งนี้จะช่วยปิดช่องว่างและจำกัดเส้นทางการเคลื่อนที่ของกลุ่มลักลอบได้อย่างมีประสิทธิภาพโพลชี้คนไว้ใจกองทัพมากกว่าวันเดียวกันนิด้าโพลเปิดเผยผลการสำรวจประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ 1,310 ตัวอย่าง เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ระหว่างวันที่ 4-5 ส.ค.2568 จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า ร้อยละ 75.73 ไว้วางใจกองทัพมาก ร้อยละ 54.58 ไม่ไว้วางใจรัฐบาลไทยเลย ร้อยละ 41.76 ไม่ไว้วางใจกระทรวงการต่างประเทศเลย ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ร้อยละ 75.42 พอใจกองทัพมาก ร้อยละ 40.31 ไม่พอใจกระทรวงการต่างประเทศเลย และร้อยละ 54.43 ไม่พอใจรัฐบาลไทยเลยรพ.ไม่ควรรับผู้ป่วยกัมพูชาแล้วด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ระบุว่า ร้อยละ 41.98 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจัง รองลงมา ร้อยละ 27.63 กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้า-ส่งออกในทุกกรณี ร้อยละ 27.10 เปลี่ยนรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ร้อยละ 23.97 เพิ่มกำลังทางทหารชายแดนเพื่อป้องกันประเทศ ร้อยละ 21.30 กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ ส่วนความคิดเห็นต่อการปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเพื่อการรักษาพยาบาล ร้อยละ 51.37 ระบุว่า ไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยและขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล รองลงมา ร้อยละ 35.81 ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยเท่านั้น ร้อยละ 11.45 ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน และร้อยละ 1.37 ไม่ตอบ/ไม่สนใจหนุนตั้ง “บุ๋ม ปนัดดา” เป็นโฆษกฯขณะที่ซูเปอร์โพล รายงานผลสำรวจเรื่องเปิดใจประชาชน จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,125 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 8-9 ส.ค.2568 ดังนี้ ข่าวดี ด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ร้อยละ 74.5 ระบุ ทีมเศรษฐกิจไทยที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา ได้รับการยอมรับ ร้อยละ 71.9 ชัยชนะของนักกีฬาไทยในเวทีนานาชาติ เช่น ทีมวอลเลย์บอลหญิงและฟุตบอลหญิง และร้อยละ 68.3 การเจรจายุติการสู้รบไทย-กัมพูชา ด้านความคิดเห็นต่อการแต่งตั้งบุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี โฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. ร้อยละ 72.3 เห็นด้วยพร้อมสนับสนุน ร้อยละ 20.9 มีความคิดเห็นกลางๆ และร้อยละ 6.8 ไม่เห็นด้วยไม่สนับสนุน เมื่อถามว่าเรื่องที่ต้องการให้โฆษก จิตอาสา ศบ.ทก. บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี สื่อสารต่อชาวโลก ร้อยละ 84.5 กองทัพกัมพูชาโจมตีพลเรือนไทย โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน ร้อยละ 81.2 ฟ้องศาลโลก ผู้นำกัมพูชาฆาตกรสงคราม ร้อยละ80.9 วางทุ่นระเบิดในเขตแผ่นดินไทยอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่