คนกรุงยังต้องเผชิญกับ “น้ำท่วมซ้ำซาก” ในทุกครั้งที่มีฝนตกหนักหลายพื้นที่กลับกลายเป็นอ่างเก็บน้ำจำเป็นสะท้อนเห็นความเปราะบางระบบระบายน้ำในเมืองหลวงกำลังเสี่ยงวิกฤติซ้ำรอยเดิมทุกปีแม้ว่า กทม.มีการลงทุนในระบบระบายน้ำมาตลอดทั้งการขุดลอกคูคลองสร้างอุโมงค์ระบายน้ำยักษ์ หรือระบบโพลเดอร์ แต่ปัญหาน้ำท่วมยังส่งผลกระทบต่อการจราจร ชีวิตคนเมือง และเศรษฐกิจกลายเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้โดย ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. และประธานเครือข่าย 19 มหาวิทยาลัยด้านจัดการภัยพิบัติ บอกว่าภาพรวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมขยายตัวเพิ่มขึ้น 11% ผลจากฝนตกมากกว่าสมัยก่อน โดยเฉพาะเขตเมืองฝนเปลี่ยนจากการพัดพาเข้ามาเป็นการก่อตัวของเมฆฝนในพื้นที่เองแบบไม่เคยเกิดมาก่อนผลจากความร้อนสะสมเป็นไอน้ำในบรรยากาศก่อเกิดเมฆฝนตกรุนแรง มีแนวโน้มเกิดในทุกที่ที่มีภูมิอากาศพัฒนาคล้ายกันแต่สำหรับประเด็นน้ำท่วมใน กทม.คือ “พื้นที่เปราะบางเพิ่มขึ้น” เพราะมีการขยายตัวของเมือง และการใช้ที่ดินไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศเดิม “พื้นที่ธรรมชาติ” ที่เคยรองรับน้ำถูกบุกรุก และเปลี่ยนเป็นพื้นผิวแข็งคอนกรีต หรือแอสฟัลต์ โดยเฉพาะโครงสร้างทางโยธามีการพัฒนาเป็นอาคาร ถนน และสาธารณูปโภคมากมายสิ่งนี้ส่งผลให้ดินไม่อาจดูดซึมน้ำได้ และมีผลต่อน้ำเร่งไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง กทม.รวดเร็ว ทำให้ฝนตกหนักช่วงเวลาสั้นๆ พื้นที่ที่ไม่เคยน้ำท่วมกลายเป็นจุดเสี่ยงมากขึ้น ประกอบกับระบบท่อระบายน้ำในซอยชุมชนยังใช้ของเดิมตั้งแต่รัชกาลที่ 5 มีขนาดเพียง 20-50 ซม. ยาวกว่า 2,000 กม.และไม่ทราบแน่ชัดว่าท่อแต่ละจุดมีขนาดเท่าใดทว่าสมัยก่อนจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากมี 12 จุด คือ“เขตบางซื่อ” ถนนประชาราษฎร์สาย2แยกเตาปูน “เขตราชเทวี” ถนนพญาไทหน้ากรมปศุสัตว์ “เขตราชเทวี” ถนนศรีอยุธยาหน้า สน.พญาไท “เขตดุสิต” ถนนราชวิถีหน้า ม.สวนดุสิต และเชิงสะพานกรุงธนบุรี “เขตสาทร” ถนนจันทน์ช่วงซอยบำเพ็ญกุศล “เขตจตุจักร” ถนนรัชดาภิเษกถัดมา “เขตหลักสี่” ช่วงคลองประปาถึงคลองเปรมประชากร “เขตสาทร” ถนนสวนพลูถนนสาทรใต้ถนนนางลิ้นจี่ “เขตบางขุนเทียน” ถนนพระรามที่ 2 ถึงคลองสะแกงาม “เขตบางแค” คลองทวีวัฒนาถึงคลองราชมนตรีแม้ถนนสายหลัก “ปรับปรุงระบบระบายน้ำด้วย Pipe Jacking” เป็นวิธีได้ผลแต่ยังจำกัดเฉพาะถนนใหญ่ เพราะท่อระบายน้ำขนาดเล็กในซอยย่อยยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และปรับปรุง ทำให้ระบบระบายน้ำในเมืองรองรับน้ำฝนปัจจุบันไม่ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ หรือพื้นที่มีการพัฒนาโดยไม่รองรับการระบายน้ำตั้งแต่ต้นปัญหามีต่อว่า “เมืองขยายตัวออกไปพื้นที่ชานเมืองเพิ่มขึ้น” ทำให้เริ่มประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นวงกว้างในช่วงฝนตก เช่น พื้นที่ห่างไกลออกไปจากศูนย์กลางเมือง แม้มีฝนตกเพียงเล็กน้อยก็เกิดน้ำท่วมแล้วเมื่อเช่นนี้ปัจจุบัน “กทม.ปรับนิยามพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากใหม่ 737 จุด” เพื่อให้ครอบคลุมสถานการณ์เกิดน้ำท่วมมากขึ้น “ข้อดี” ช่วยให้การวางแผน และจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม “ข้อเสีย” ก็สร้างภาระงานด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้งบประมาณโดยเฉพาะท่อขนาดเล็กในซอยยังไม่ได้พัฒนา 2,000 กม.ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายใหญ่ “ต้องการงบประมาณสูง” แต่เมื่อ กทม.ปรับแนวทางการบริหารน้ำขยายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากครอบคลุมชานเมืองรอบนอกก็ต้องพิจารณาระบบท่อระบายน้ำขนาดเล็กให้ได้รับพัฒนาด้วยเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในสภา กทม.หากงบประมาณถูกตัดอาจทำให้การปรับปรุงท่อระบายน้ำในพื้นที่เปราะบางหยุดชะงัก “ประชาชนได้รับความเดือดร้อน” เพราะน้ำท่วมไม่ได้จำกัดแค่พื้นที่ใหญ่หรือใจกลางเมืองเท่านั้นแต่ทุกจุดน้ำระบายไม่ทันย่อมก่อเกิดน้ำท่วมขังเป็นวงกว้างมากกว่าในอดีต“ดังนั้นงบประมาณที่เกี่ยวข้องสำหรับโครงสร้างท่อระบายน้ำขนาดเล็กต่างๆ ไม่ควรต้องถูกตัดหากต้องการแก้ปัญหาน้ำท่วมใน กทม.เชิงรุกเพราะถ้าไม่มีงบประมาณเพียงพอต่อการพัฒนาด่านแรกในการรับน้ำฝนแล้วการลงทุนด้านอื่นก็จะไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ และสุดท้ายประชาชนคือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง” ดร.พิจิตต ว่าแต่หากต้องพูดถึง “อุโมงค์ระบายยักษ์” เรื่องที่หลายคนเข้าใจผิดหากมีอุโมงค์แล้วน้ำจะไม่ท่วม กทม. ตรงนี้ไม่ถูกต้องเพราะอุโมงค์เป็นเพียงโครงข่ายเสริม ทำหน้าที่เหมือนคลองเทียมช่วยรับน้ำจากคลองเดิมที่แคบ ตื้นตัน หรือไหลไม่ถึงจุดระบายหลัก โดยเร่งส่งน้ำตรงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา จึงช่วยลดปัญหาแต่ไม่สามารถแก้ให้หายขาดได้ปัจจุบันอุโมงค์มีทั้งตัวเก่า-ใหม่ “รุ่นเก่า” อุโมงค์สุขุมวิท อุโมงค์พระราม 9 “รุ่นใหม่” อุโมงค์แสนแสบ อุโมงค์บางซื่อ อุโมงค์หนองบอน อุโมงค์คลองทวีวัฒนา อุโมงค์คลองเปรมประชากร ซึ่งอุโมงค์เหล่านี้ไม่ได้แก้น้ำท่วมเพียงแต่มาแทนคลองที่ไม่พอใช้ในเขตชั้นในไม่ติดแม่น้ำเพราะการมีอุโมงค์ช่วยให้น้ำไหลออกเร็วไม่ต้องรอสูบทีละจุดฉะนั้นถ้าต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วแนะนำว่า “ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการระบายน้ำขนาดใหญ่” อย่างการทําอุโมงค์เพิ่มในทุ่งตะวันออกนอกคันพระราชดำริที่จะส่งน้ำออกแม่น้ำโดยไม่ผ่านคันพระราชดําริเข้ามาในเขตเมือง เพื่อส่งไปแก้มลิงตะวันออก “กรมชลประทาน” มีสถานีสูบน้ำดักที่บางปู บางปิ้ง ออกสู่เจ้าพระยาตรงนี้เป็นพื้นที่สูงผ่านเข้าสู่เครื่องได้ช้าเพราะแก้มลิงตะวันออกต้องใช้เครื่องตีน้ำของกองทัพเรือผลักน้ำจากที่ต่ำขึ้นที่สูง หากลงทุนทําอุโมงค์ปรับระดับการเทลาดสู่สถานีกรมชลประทานออกสู่บริเวณอ่าวไทยได้เลย นอกจากนี้ต้องลงทุนเพิ่มเรื่องโพลเดอร์ในพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ตอนเหนือของ กทม. เขตสายไหม ดอนเมือง บางเขนตอนบนเพื่อช่วยให้ลุ่มบริเวณ กทม.ด้านเหนือมีกลไกถ่ายน้ำออกนอกพื้นที่ลุ่ม ในอดีตมีเครื่องมือระบายน้ำช่วยผ่อนหนักเป็นเบาน้อยมาก ฉะนั้นขยายจำนวนโพลเดอร์บริเวณดังกล่าวจะเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งถัดมาต้องสำรวจจุดน้ำท่วมใหม่ 700 จุด ตามนโยบาย กทม.เพื่อให้เข้าใจปัญหาเชิงลึก และประเมินศักยภาพแก้ไขคูคลองขนาดเล็ก-กลาง กว้าง 3-4 เมตร ตามแนวรั้วชุมชน ข้างซอยขาดการพัฒนา มีวัชพืช ขยะ ตะกอนตื้นเขินจนน้ำระบายไม่ได้สามารถพัฒนาเชื่อมโพลเดอร์ขนาดเล็กที่ต้องรีบออกแบบปรับเปลี่ยนสภาพใน 700 กว่าแห่งอย่างไรก็ดี ต้องบูรณาการระบบท่อ ท้องถนน ให้สอดรับกับระบบคลองขนาดเล็กจะช่วยให้ชุมชนนอกจากน้ำไม่ท่วมแล้วถนนเข้าสู่ชุมชนนั้นก็จะปลอดภัย และจำนวนพื้นที่เสี่ยงก็จะลดลงจาก 700 แห่งตามลําดับนี่คือปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ “ไม่อาจแก้ด้วยโครงการใดโครงการหนึ่ง” แต่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงพื้นที่บวกเทคโนโลยีบวกการมีส่วนร่วมแนวทางที่เป็นไปได้ที่สุดคือ “การลงมือกับพื้นที่เล็กๆให้มากที่สุด” เพื่อเชื่อมต่อเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่รองรับน้ำทั้งเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม