จับตาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าสู่ “ประเทศไทยทางใหม่” ด้วยการเบี่ยงเส้นทางการลำเลียงมาใช้ประเทศลาวเป็นจุดพัก และนำเข้าผ่านพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆสาเหตุเปลี่ยนเส้นทางก็มาจาก “ความไม่สงบในเมียนมา” ทั้งการสกัดกั้นเข้มข้นตามแนวชายแดนภาคเหนือจนทำให้ขบวนการค้ายามองหาช่องทางใหม่ คณิศร ภาพีรนนท์ ผอ.สนง.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 4 ให้ข้อมูลระหว่างนักศึกษา ยธส.16 ลงพื้นที่ชายแดนไทย-ลาวดูงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าดูข้อมูลปี 2568 ช่วง 6 เดือนแรกทิศทาง “ด้านเมียนมา” มีคดีเกี่ยวกับยาบ้า 82 คดี ตรวจยึด 129 ล้านเม็ด คดียาไอซ์ 35 คดี ยึดได้ 14 ตัน “ฝั่ง สปป.ลาว” มีคดียาบ้า 223 คดี ยึดได้ 295 ล้านเม็ด คดียาไอซ์ 20 คดี ยึดได้ 4 ตันสะท้อนให้เห็นว่า “เส้นทางลักลอบยาเสพติดเข้าไทยเริ่มเบี่ยงมาทางฝั่งลาว” โดยเฉพาะแนวชายแดนฝั่งภาคเหนือตั้งแต่ จ.เชียงรายของไทยลงมาถึง จ.ไชยะบุรีของลาวมักเป็นพื้นที่พบการลักลอบนำเข้าต่อเนื่องแต่หากย้อนดูช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมายิ่งจะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า “ยาบ้าในไทยเพิ่มขึ้น” อย่างกรณีปี 2564 มีการจับกุมได้ 200-300 ล้านเม็ด แต่ในปี 2568 ผ่านมาเพียง 6 เดือน สามารถจับกุมได้แล้วถึง 510 ล้านเม็ดขณะที่การลักลอบนำเข้า “ยาไอซ์” ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 จับได้ 19 ตัน แล้วช่วงเวลาเดียวกันของปี 2568 กลับจับได้ 30 ตัน ตัวเลขเพิ่มขึ้นเท่าตัว ในส่วน “เฮโรอีน” แนวโน้มปี 2564 และปี 2568 จับได้ 800 กิโลกรัม สะท้อนว่าอัตราการผลิตยังอยู่ในระดับเดิม “กลุ่มเป้าหมายไม่ได้ขยายตัว” เมื่อเทียบกับยาบ้าหรือยาไอซ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งที่น่าสนใจ “คีตามีน” มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปี 2564 จับกุมได้ 2 ตัน ก่อนลดลงเล็กน้อยในปี 2565-2566 ในปี 2568 เพียง 6 เดือนจับได้แล้ว 3 ตัน เช่นนี้การลักลอบยาบ้า ยาไอซ์ เฮโรอีน และคีตามีน ยังรุนแรงในปีนี้อย่างไรก็ดีปัญหายาเสพติดที่กระทบต่อไทยตอนนี้คือ “ยาบ้า” ซึ่งยังครองสัดส่วนสูงสุดในการจับกุมกว่า 510 ล้านเม็ด และมีอีกจำนวนมากเล็ดลอดถึงมือ “ประชาชน” หลายคนเสพจนกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชมากมายประเด็นสำคัญมีอยู่ว่า “ต้นทางของยาเสพติดมาจากที่ใด..?” ตามข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ส่วนใหญ่มาจากแหล่งผลิตหลัก “ในสามเหลี่ยมทองคำ” ซึ่งเป็นพื้นที่เขตปกครองพิเศษของเมียนมาที่ไม่สามารถควบคุมได้ 2 จุด คือ จุดแรก... “เขตปกครองพิเศษที่ 3” ที่รู้จักกันในชื่อปางซางอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มว้าถัดมาคือ “เขตปกครองพิเศษที่ 4 หรือเมืองลา” ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแขวงหลวงน้ำทา ทางตอนเหนือของลาว เข้ามาสู่แขวงบ่อแก้ว สามารถกระจายเข้าได้ทั้งใน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ภาคเหนือของไทย นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่ตอนในของแขวงไชยะบุรีสามารถลำเลียงกระจายไปสู่ จ.เลย หรือ จ.อุตรดิตถ์ได้ด้วยแต่หากลำเลียงลงมาถึง “นครหลวงเวียงจันทน์” มักจะลักลอบเข้าไทยผ่าน จ.หนองคาย แต่ถ้าไปทางใต้จะผ่านแขวงบอลิคำไซ-คำม่วน เชื่อมต่อกับภาคอีสานของไทยตั้งแต่ จ.นครพนม มุกดาหาร และบึงกาฬ ทำให้ทางการลาวต้องสกัดกั้นตั้งแต่ตอนเหนือ เช่น แขวงบ่อแก้ว หลวงน้ำทา อุดมไซ และไชยะบุรี ค่อนข้างเข้มงวดมากขึ้นปัญหาว่าตามข้อมูลการข่าวในลาวพบว่า “เส้นทางลักลอบยาเสพติดขยายเพิ่มเติม” เริ่มจากเขตปกครองพิเศษที่ 3, 4 ของเมียนมาผ่านแขวงหลวงน้ำทา หลวงพระบาง และเชียงขวาง ก่อนมุ่งหน้าไปทางตะวันออกรู้จักกันในชื่อ “เส้นทางโฮจิมินห์” ในอดีตเวียดนามเหนือจะตีเวียดนามใต้ก็จะต้องลักลอบเข้ามาในลาวในเส้นทางนี้ ปัจจุบันกลุ่มค้ายาเสพติดใช้เป็นเส้นทางลักลอบขนส่งแทน “เรื่องนี้ทางการไทยก็ได้ประสานกับเจ้ากรมกิจการชายแดนทหารของลาวแล้ว” เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดที่จะเข้าสู่ฝั่งไทยตามชายแดนภาคอีสานที่สถานการณ์มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ จ.หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร นครพนม อุบลราชธานีตอกย้ำสาเหตุ “ยาเสพติดหลั่งไหลเข้าลาว” ถ้าดูตามสถิติสำคัญในแขวงบ่อแก้วจุดลักลอบพบคดียาเสพติด 11 คดี ยึดยาบ้าได้ 50-60 ล้านเม็ด และทั่วประเทศในปี 2567 คดียาเสพติด 14 คดี ยึดยาบ้า 77 ล้านเม็ดโดยเฉพาะคดีล่าสุด “จับกุมยาบ้า 1 แสนเม็ดที่บอลิคำไซ” ซึ่งมีผู้ต้องหาเป็นคนไทย 8 ราย ลักลอบข้ามแดนไปตั้งโรงงานอัดเม็ดยาบ้าฝั่งลาวแล้ว “ป.ป.ส.ภาค 4” ก็ได้ร่วมในการสอบปากคำขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาวางแผนผลิตยาบ้าที่เมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมาตรงข้าม จ.เชียงรายของไทยแต่สถานการณ์ไม่สงบในเมียนมา “ย้ายมาผลิตแขวงบอลิคำไซ” ที่เริ่มมีแนวโน้มถูกใช้เป็นฐานการอัดเพิ่มมูลค่าของยาบ้า เพราะตามข้อมูลหลักฐานในภาคอีสานของไทย “ยาบ้ามีต้นทางจากลาว 99.99% บางส่วนคุณภาพต่ำ” จนต้องถูกตีกลับมายังผู้ผลิตก่อนนำมาบดอัดใหม่ในที่แห่งนี้แล้วส่งกลับมาจำหน่ายอีกครั้งแล้วกรณีที่ตรวจพบล่าสุด “ยาบ้าแสนเม็ด” ก็เป็นยาเสพติดด้อยคุณภาพถูกตีกลับจากพื้นที่ตอนในของลาวแล้วนำไปบดอัดใหม่จนถูกจับได้ เพราะไม่กล้ามาทำในไทยเลยดำเนินการที่ฝั่งลาวแทนและอีกเคสที่ศุลกากรหนองคายจับเฮโรอีนซุกในแบตเตอรี่ “เป็นเฮโรอีนคุณภาพต่ำ” ถูกตีกลับไปลาวเพื่อลักลอบส่งต่อไปเวียดนาม หรือจีนเพราะเฮโรอีนคุณภาพดีมักลำเลียงทางเรือไปประเทศปลายทางอย่างอเมริกา หรือไต้หวัน ที่จะมีนักเคมีช่วยปรุงคุณภาพ ดังนั้นยาเสพติดด้อยคุณภาพมักจะถูกตีกลับนำมาขายในภูมิภาคนี้เช่นนี้ในปีงบประมาณ 2567 “สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 4” จึงได้รับความไว้วางใจจากเลขาธิการ ป.ป.ส.ให้ดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปราบปรามยาเสพติดพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว “เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภาค 4” ก็ได้รับมอบหมายให้ประสานความร่วมมือกับทางการลาวในหลายมิติตั้งแต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเบาะแสเกี่ยวกับเครือข่ายค้ายาเสพติด การประสานงานเพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่มีหมายจับ และพยายามหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงร่วมกันชี้เป้าหมายหรือสถานที่ต้องสงสัยใช้ผลิตซุกซ่อนยาเสพติด และการร่วมสอบสวนสอบปากคำผู้ต้องหาถูกจับกุมขยายผลขบวนการรายอื่นๆนี่เป็นความร่วมมือก้าวสำคัญ “การบูรณาการด้านการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ” อันเป็นแนวทางสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพราะยาเสพติดส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของภูมิภาค ทำให้เราทุกคนต้องร่วมมือกันสกัดกั้นจริงจัง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม