ตากระอุ เด้ง 2 นายตำรวจ “ผกก.ตม. ตาก-รอง สวป.สภ.แม่สอด” ปมต่างชาติหายข้ามแดน ขณะที่ตำรวจ สอท. ตามทลายเสาเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์กลางสวนยางพารา ใกล้ริมแม่น้ำเมย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด ได้อีก พบส่งสัญญาณเต็มระบบ หนำซ้ำลักลอบต่อไฟ กฟภ.-ใช้สัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตโดยไม่ขออนุญาต ด้าน จตช.เตรียมนัดทูตนานาประเทศหารือ 17 ก.พ.นี้ รับเหยื่อแก๊งคอลฯกลับ ยืนยันมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกหลอก นอกนั้นเต็มใจทำงาน รวมถึงพบ 1 ใน 260 คน ที่ดีเคบีเอส่งตัวให้ไทย เป็นผู้ต้องหาในกระบวนการค้ามนุษย์ แต่แอบอ้างเป็นเหยื่อ ส่วนการออกหมายจับ “หม่อง ชิต ตู่” อัยการนัดดีเอสไอ ถกอีกรอบจันทร์หน้า ด้าน “บิ๊กเต่า” ขอเวลาตรวจสอบ “ผู้การต๊ะ” เร่งเช็กทุกมิติ ยันไม่มีตั้งธงเอาผิด แค่ต้องการข้อเท็จจริงผลพวงจากการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมาที่มีพรมแดนติดกับไทยอย่างหนักหน่วง ทำให้แก๊งคอลฯยอมปล่อยตัวเหยื่อที่หลอกลวงมาทำงานหลายร้อยคน โดยเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหยื่อแก๊งคอลฯ ที่กองบัญชาการทหารกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA) เมียนมา ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ส่งให้ทางการไทย 260 คน โดยพันเอกซาน เอ่า ผู้บัญชาการ DKBA กล่าวว่า จะมีการติดตามช่วยเหลือเหยื่อต่อไป และยืนยันว่าจากนี้ไปกองกำลังทหารดีเคบีเอจะกวาดล้างสถานประกอบการที่กระทำผิดกฎหมายในพื้นที่รับผิดชอบในฝั่งเมียนมาทั้งหมด หากพบจะขับออกไป และพร้อมช่วยเหลือเหยื่อทันที จะยังคงไว้ธุรกิจอันเป็นที่ยอมรับทั่วไปคือ บ่อนกาสิโนและงานบริการในโรงแรม งานทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 260 คน ที่ส่งมาไทยนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเช้า ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนูได้ส่งตัวไปยังมณฑลทหารบกที่ 310 ค่ายวชิรปราการ ที่ อ.เมืองตาก เบื้องต้นจำนวน 205 คนขณะเดียวกันมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรักษาราชการแทน ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ลงนามคำสั่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ 24/2568 เรื่องข้าราชการตำรวจช่วยราชการ โดยให้ พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม และมีคำสั่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ 25/2568 ให้ พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 รักษาราชการแทน ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงพร้อมกันนี้มีหนังสือลงนามคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดตาก ที่ 77/2568 ที่มีสาระสำคัญระบุว่าด้วย ร.ต.ท.มานพ ศิวาดำรงค์ รองสารวัตร สายงานปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่สอด มีกรณีต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และมีฐานะความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยผิดปกติ อาจได้ทรัพย์สินมาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดตากสั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงไปด้วยแล้ว เพื่อให้การสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และป้องกันมิให้ผู้นี้เข้าไปยุ่งเหยิงหรือแทรกแซงการสืบสวนข้อเท็จจริง และเพื่อให้การบริหารราชการในภาพรวมของตำรวจภูธรจังหวัดตาก เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงให้ ร.ต.ท.มานพ มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดตาก โดยขาดจากตำแหน่งเดิมขณะเดียวกัน ยังมีการตรวจค้นและยึดอุปกรณ์ที่คาดว่าเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อีกในพื้นที่ อ.แม่สอด โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) นำคณะ แถลงที่ บช.สอท. เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ถึงผลการเปิดปฏิบัติการ “ฟ้าสางที่แม่สอด” ทลายเหมืองบิทคอยน์เถื่อนลักลอบใช้ไฟฟ้า เสียหายกว่า 4 ล้านบาท โดยตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุด พื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จุดสำคัญอยู่ที่อาคารพาณิชย์ในชุมชนดอนไชย ถนนอินทรคีรี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก ยึดเครื่องขุดบิทคอยน์ จำนวน 12 เครื่อง พบมีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าสร้างความเสียหายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท กับจุดเสาเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์กลางสวนยางพารา ใกล้ริมแม่น้ำเมย ในพื้นที่หมู่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด ตั้งอยู่ฝังตรงข้ามเมืองอพอลโล่ ตอนปลายของเมืองชเวโก๊กโก่ โดยก่อนเข้าตรวจเมื่อวันที่ 11 ก.พ. พบว่ามีการปล่อยสัญญาณเต็มระบบ และแผงปล่อยสัญญาณหันไปยังฝั่งพม่า แต่ขณะเข้าตรวจค้นพบว่ามีการรื้อถอดแผงส่งสัญญาณออกไปแล้ว และ กฟภ.ยืนยันไม่ได้จ่ายกระแสไฟฟ้ามายังจุดดังกล่าว และไม่มีการขออนุญาต รวมทั้งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ไม่มีการขออนุญาตจาก กสทช. ส่วนผลการตรวจค้นในจุดอื่นๆ อีก 4 จุด จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 2 ราย ยึดอาวุธปืน 6 กระบอก กระสุนชนิดต่างๆรวม 482 นัดนอกจากนี้ เมื่อเย็นวันที่ 12 ก.พ. ทหารกองร้อย ร.433 หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องจับกุมรถกระบะโตโยต้าไทเกอร์ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บจ 3790 ตาก ได้ที่บริเวณจุดตรวจ บ้านมหาวัน ม.1 ต.มหาวัน อ.แม่สอด มีนายเสรี เหมยคำ อายุ 40 ปี ภูมิลำเนา ต.มหาวัน อ.แม่สอด เป็นผู้ขับ รับสารภาพเตรียมขนน้ำมันในแกลลอนขนาด 20 ลิตร 21 ถัง รวมจำนวน 420 ลิตร ข้ามแดนไปขายให้ชาวเมียนมา จึงนำส่ง สภ.แม่สอด ดำเนินคดีส่วนด้านชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงเช้าวันที่ 13 ก.พ. เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการร่วมฯ กองร้อยทหารพราน ที่ 1201 หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กองกำลังบูรพา จ.สระแก้ว จับกุมชาย 2 คน ขณะเดินลัดเลาะตามป่าละเมาะข้ามพรมแดนจากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา เข้ามาในประเทศไทยตามช่องทางธรรมชาติ บริเวณระหว่าง จต.อ.12-จต.อ.13 พื้นที่ชายแดนบ้านดงงู ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ พบป็นคนไทยทั้งคู่ ชื่อนายเอนก สุกเขียว อายุ 43 ปี ภูมิลำเนา ต.นาช่า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น และนายปฐมวุฒิ นาคปนทอง อายุ 32 ปี ภูมิลำเนา ต.บางนายสี อ.ตะกัวป่า จ.พังงา ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารอนุญาตเดินทางข้ามแดน จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่กองร้อยทหารพรานที่ 1201 จต.อ.20 ด่านพรมแดนคลองลึก อ.อรัญประเทศ เบื้องต้นนายเอนกและนายปฐมวุฒิอ้างว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้มาทำงานออนไลน์ที่ จ.ไพลิน ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ตรงข้าม จ.จันทบุรี โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งรถมารับถึงบ้านพักเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา จากนั้นนำไปส่งข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดนด้าน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นำไปกักขังไว้ในห้องพักบริเวณชั้น 2 ของโรงแรมกาสิโนแห่งหนึ่งในเมืองไพลิน ยึดโทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีธนาคาร โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์บังคับให้สแกนหน้าและถูกกักขังจนถึงวันที่ 10 ก.พ.แก๊งคอลฯ จึงให้รถยนต์มารับจากโรงแรมกาสิโน มาส่งที่บริเวณชายแดนเมืองปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ตรงข้าม อ.อรัญประเทศ ปล่อยให้เดินลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติกลับเข้าไทย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้ง 2 คน ส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก จ.สระแก้ว ดำเนินคดีลักลอบเดินทางเข้า-ออกโดยผิดช่องทาง และจะขยายผลว่ามีส่วนร่วมในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีบุคคลที่ เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. และ ผอ.ศตคม.ตร. และ ผอ.ศปอส.ตร. กล่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่า จากข้อมูลที่ผ่านมาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพบว่ามีคนหลายชาติใช้เส้นทาง อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งแบบ ถูกต้องและเส้นทางธรรมชาติในการข้ามพรมแดน โดยร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เดินทางข้ามพรมแดน สมัครใจไปเอง และยืนยันว่าไม่มีการถูกหลอกในประเทศไทย สำหรับผู้ที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาจเป็นการหลอกให้ไปทำงานโดยแจ้งว่าเป็นงานอีกประเภท โดยผู้ที่ไปเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา นอกจากไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว ยังไปทำงานอื่นๆ อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร บ่อนพนันออนไลน์ คนที่ถูกหลอกข้ามประเทศไปจริงๆมีสัดส่วนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ เช่น กรณีดาราจีน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจับกุมชาวญี่ปุ่น 4 ราย มีพฤติกรรมใช้ช่องทางธรรมชาติข้ามไปพรมแดนเพื่อนบ้านหลายครั้ง จากการสืบสวนพบมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ การหลอกลวงให้ไปทำงานในฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา มีกลุ่มผู้เสียหายหลายเชื้อชาติทั่วโลกคนไทยจะเกี่ยวข้องในเรื่องของการไปรับจ้างเปิดบัญชีม้า คนไทยที่จะถูกหลอกไปทำงานจริงๆ ส่วนมากจะถูกหลอกไปฝั่งประเทศกัมพูชาและลาว และในวันจันทร์ที่ 17 ก.พ.นี้ จะเชิญทูตประเทศต่างๆมาเตรียมความพร้อมในการรับพลเมืองตัวเองกลับไป ส่วนการคัดกรองเหยื่อกับมิจฉาชีพ ล่าสุดในกลุ่ม 260 คน ที่ทางการไทยเพิ่งรับมา ประเทศฟิลิปปินส์ได้ให้ข้อมูลมาว่ามี 1 คน เป็นผู้ต้องหาในกระบวนการค้ามนุษย์ แต่มาแอบอ้างว่าเป็นเหยื่อส่วนการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะออกหมายจับ พ.อ.หม่องชิตตู่ พ.ท.โมเต โธน และ พ.ต.ทิน วิน ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์คอลเซนเตอร์ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอ พร้อมพนักงานอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ ไปร่วมกันขอข้อมูลกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในประเด็นเกี่ยวกับกองกำลังของ พ.อ.หม่องชิตตู่ ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force : BGF) และสำนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์จะประชุมพร้อมนัดหารือกับดีเอสไอในวันที่ 17 ก.พ.นี้ หากทางอัยการและดีเอสไอมีข้อสรุปร่วมกันได้ จะนำไปสู่ขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อออกหมายจับ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ กับพวกต่อไปขณะที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทน ราษฎร กล่าวถึงการออกหมายจับ พ.อ.หม่องชิตตู่ว่ารอดู 1-2 วันนี้ก่อน หากไม่มีการดำเนินการตนคงต้องมาฟ้องให้ประชาชนได้รู้ว่าทั่วโลกมองหม่องชิตตู่เป็นภัยคุกคาม มีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบ แต่ประเทศไทยบอกไม่เห็นบอกไม่รู้วันเดียวกันที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผบก.กต.5 รรท. ผบก.กต.6 เอี่ยวโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในคณะกรรมการดังกล่าวทั้งหมดเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางตรวจสอบข้อเท็จจริง ใช้เวลานานร่วม 1 ชั่วโมงแล้วเสร็จ โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้สอบสวนกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียวดีคอมเพล็กซ์ ได้ตั้งชุดคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนภายใน 1 เดือน โดยแนวทางคณะทำงานจะมุ่งเน้นสอบสวนพฤติกรรมของ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ให้แน่ชัดก่อนว่าเกี่ยวข้องกับเมียวดีคอมเพล็กซ์หรือไม่ เกี่ยวข้องในด้านใด มีบุคคลใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวเกี่ยวด้วยหรือไม่ ยืนยันจะสอบสวนในทุกมิติ ส่วนชุดทำงานจะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานทั้งตำรวจ บก.ปปป. ตำรวจ บก.ปอท.และตำรวจ บก.ปอศ. ยืนยันว่าไม่มีการตั้งธงหรือวางประเด็นว่าจะเอาผิดทางวินัยหรืออาญา หรือจริยธรรม เพียงแต่ต้องการความชัดเจนว่านายตำรวจคนดังกล่าวเกี่ยวข้องจริงหรือไม่เกี่ยวข้องอย่างไร เพื่อแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ตำรวจพล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางทำงานขณะนี้มีการตั้งโครงสร้างตัวละครต่างๆที่อาจจะเกี่ยวข้องทั้งผู้มีอิทธิพลในพื้นที่และผู้มีอำนาจในพื้นที่ทั้งหมด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จเรตำรวจจะสอบสวนประเด็นดังกล่าวไปแล้วแต่เป็นคนละส่วน และจากกรณีที่มีข้อมูลว่ามีบุคคลใกล้ชิดนายตำรวจคนดังกล่าวรับช่วงต่อดูแลกิจการนั้น ยืนยันมีข้อมูลชุดนี้อยู่แล้ว หากมีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงใครจะดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น รวมถึงนายตำรวจอีก 5 นาย ใน จ.ตาก ที่ถูกคำสั่งโยกย้ายเช่นกันต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม.ร่วมกันเปิดเผยกรณีเยาวชนชาวญี่ปุ่นถูกหลอกให้ไปทำงานขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ต่อมามีการประสานงานกับทางการญี่ปุ่นจนช่วยเหลือผู้เสียหายกลับประเทศญี่ปุ่นได้แล้ว และหลังสอบปากคำผู้เสียหายได้พิสูจน์ทราบตัวผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ คือนายทอม ชาวญี่ปุ่น อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่ได้ทำหนังสือเพิกถอนการอยู่ต่อในราชอาณาจักร ลงวันที่ 13 ก.พ.2568 และตรวจสอบข้อมูลนายทอมพบว่ามีหมายจับจากทางการญี่ปุ่นข้อหา “ลักพาตัวโดยใช้กำลังเพื่อแสวงหากำไร การกักขังที่ผิดกฎหมาย การบุกรุกเข้าไปในที่พักอาศัย ทำร้ายบุคคลในที่เกิดเหตุ และปล้นทรัพย์” ต่อมาทราบว่าผู้ต้องหาจะกลับเข้ามาประเทศไทย จากประเทศเมียนมา มาลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จึงได้เข้าตรวจสอบพร้อมแจ้งการเพิกถอนการอยู่ต่อในราชอาณาจักร (ตม.83) ให้ผู้ต้องหาทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.ดำเนินการตามกฎหมาย เตรียมผลักดันส่งกลับประเทศญี่ปุ่นต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่