แม่ “พลทหาร มทบ.45” เหยื่อครูฝึกและเพื่อนทหารเกณฑ์ซ่อมโหดมาราธอน 4 วัน ยื่นฟ้องแพ่งข้อหาละเมิดกับ กห. ทบ. ครูฝึกพร้อมเพื่อนทหารเกณฑ์รวม 13 ราย จ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินรวมกว่า 4 ล้านบาท หลังศาลทหาร มทบ.45 ตัดสินความผิดทางอาญา ลงโทษจำคุกทหารที่เกี่ยวข้องรวม 11 นาย ตั้งแต่ 3-8 ปี หลังก่อเหตุละเมิดผู้ตายให้ถึงแก่ความตายโดยทารุณและโหดร้าย แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตจากอาการไตวาย ภาวะเลือดเป็นกรดและไตทำงานหนัก “ทนายเจมส์” เผยเป็นตัวแทนสภาทนายเข้าช่วยเหลือแม่ของพลทหารรายนี้เนื่องจากเหลือตัวคนเดียว ยากจนจากการไม่มีคนอุปการะ ร้องศาลขอยกเว้นค่าธรรมเนียมด้วยที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ม.ค. นายนิติธร แก้วโต หรือทนายเจมส์ ฐานะคณะอนุกรรมการคดีสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ พร้อมนางเรณู หมดราคี มารดาพลทหาร ยุทธกินันท์ บุญเนียม ผู้ตาย เดินทางมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม (กห.) เป็นจำเลยที่ 1 กองทัพบก (ทบ.) เป็นจำเลยที่ 2 และทหารอีก 11 นาย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-13 ข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหาย 4,131,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีโจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 27 มี.ค.2560 พลฯภูวเดช ธนายุทธภูมิ จำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกซึ่งเป็นทหารรวม 11 นาย ร่วมกันละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของพลฯยุทธกินันท์ บุญเนียม ทำร้ายจนถึงขั้นเสียชีวิต ขณะผู้ตายเป็นทหารกองประจำการรุ่นปี 2558 ผลัดที่ 1 กองร้อยมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดีรังสิต จ.สุราษฎร์ธานี ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ประจำทหารสารวัตร แต่ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม ดื้อดึง ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ถูกส่งตัวกลับหน่วยต้นสังกัด พร้อมลงทัณฑ์ข้อหากระทำผิดวินัยทหาร ถูกจำขังเป็นเวลา 15 วันเมื่อถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำมณฑลทหารบกที่ 45 มี ส.อ.สุรเชษฐ์ พรหมมาศ จำเลยที่ 12 เป็นผู้คุมเรือนจำตรวจร่างกายพบว่า ผู้ตายสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว แต่พบสารเสพติดในปัสสาวะ นำตัวใส่เครื่องพันธนาการ (ตีตรวน) พร้อมรายงานให้ ร.ท.ฐิติกานต์ เวชสิทธิ์ จำเลยที่ 13 สั่งให้ผู้ตายออกกำลังท่าลุกหมอบจำนวน 300 ครั้ง วันละ 3 เวลา ซึ่งเป็นการทำโทษผู้ต้องขังใหม่ต่อมาเวลา 21.00 น. วันที่ 27 มี.ค. จำเลยที่ 4-11 เป็นทหารสิบเวรนั่งดื่มสุราอยู่บริเวณม้านั่งหินอ่อนบริเวณเรือนจำกับจำเลยที่ 12-13 ถึงเวลา 01.20 น.วันที่ 28 มี.ค. ขณะผู้ตายนอนหลับอยู่หน้าห้องน้ำภายในห้องขัง จำเลยที่ 4 5 7 และ 11 เข้ามาปลุกผู้ตายพร้อมผู้ต้องขังอีก 3 คน ได้แก่ จำเลยที่ 8 9 และ 10 (พลทหาร) ให้เข้ามาหาผู้ตาย จำเลยที่ 5 สั่งให้จำเลยที่ 8 9 และ 10 รุมทำร้ายผู้ตายนานถึง 5 นาที และสั่งให้ทั้ง 3 คน จับผู้ตายกดหัวติดลูกกรงในห้องขังลักษณะยืนกางแขน แล้วใช้ผ้ามัดแขนติดกับลูกกรง สั่งให้ทั้ง 3 คนรุมทำร้ายผู้ตายอีกนาน 4 นาที จากนั้นจำเลยที่ 4 5 10 และ 11 เข้ามารุมชกและใช้เท้าถีบผู้ตายหลังจากนั้นสั่งให้รุมทำร้ายอีกหลายครั้ง ทำให้พลฯยุทธกินันท์บาดเจ็บทุรนทุราย แล้วใช้ถุงพลาสติกเจาะรูคลุมศีรษะนาน 1 นาที จนกระทั่งเวลา 02.01 น. จำเลยทั้งหมดจึงออกจากห้องขังปล่อยให้ผู้ตายนอนเปลือยกายอยู่บนพื้นอีก 20 นาที ต่อมาจำเลยทั้งหมดเดินวนกลับมาทำร้ายผู้ตายอีกรอบ ถึงเวลา 03.40 น. จำเลยที่ 8 9 และ 10 ใช้ผ้าขาวม้าผูกข้อเท้ากับลูกกรงลักษณะห้อยศีรษะลงมาและนำผ้าขนหนูชุบน้ำมาปิดหน้าผู้ตายถึงเวลา 06.00 น. ผู้ต้องขังทั้งหมดถูกเรียกจากอาคารนอนมารวมแถวเพื่อตรวจสอบยอด มีพลทหารคนอื่นช่วยกันปลดผู้ตายออกจากลูกกรง ตัดกางเกงที่พันตรวนผู้ตาย และช่วยกันพยุงออกมาจากเรือนนอน สิบเวรสั่งให้ผู้ตายยืนตากแดดหน้าโรงอาหารทั้งที่ตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำและแผลแตกบริเวณคิ้ว จนยืนไม่ไหวนอนฟุบที่พื้น เมื่อจำเลยที่ 13 เดินมาเห็นกลับสั่งให้ผู้ช่วยสิบเวรนำตัวไปอาบน้ำ และนำมาที่โต๊ะอาหาร ก่อนนำไม้ไผ่ตีผู้ตายอีก 2 ครั้ง โดยไม่ส่งไปพบแพทย์ระหว่างวันที่ 29-30 มี.ค. ผู้ตายยังถูกสั่งให้ไปนอนตากแดดทั้งที่ร่างกายรับไม่ไหว ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. ผู้ตายมีอาการศีรษะบวม ไข้สูง จำเลยที่ 13 ส่งผู้ตายไปยังโรงพยาบาลวิภาวดี ก่อนแพทย์ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์นิติเวชมีความเห็นว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งแผลฉีกขาดกระจายทั่วร่างกาย สาเหตุการเสียชีวิตมาจากอาการไตวาย ภาวะเลือดเป็นกรด และไตทำงานหนัก การกระทำของจำเลยที่ 3-13 เป็นการจงใจละเมิดผู้ตายให้ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และเสรีภาพ นำผ้าขาวม้าผูกคอ ขณะอยู่ในสภาพเปลือยจนขาดอากาศหายใจ เมื่อจำเลยที่ 13 ทราบเรื่องกลับไม่ส่งตัวไปรักษาเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ 3-13 เป็นการละเมิดผู้ตายให้ถึงแก่ความตายโดยทารุณและโหดร้ายคดีนี้อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 45 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3-13 ศาลลงโทษจำเลยที่ 3 4 5 และ 8 ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยทรมาน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุกคนละ 6 ปี และลงโทษจำเลยที่ 6 7 9 และ 11 คนละ 8 ปี จำเลยที่ 10 จำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 12 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยมิกระทำตามข้อบังคับ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่นฯ จำคุก 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 13 มีความผิดฐานขัดขืนละเลยฯ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่แต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ฯ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นฯ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 13 มีกำหนด 3 ปีการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 3-13 นอกจากจะเป็นความผิดทางอาญาแล้ว ยังเป็นการละเมิดผู้ตายรวมถึงมารดาของผู้ตาย ต้องร่วมกันชดใช้สินไหมทดแทนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งหมดอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และ 2 ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าทนทุกข์ทรมานจากการทำร้ายร่างกาย 80,000 บาท ค่าปลงศพ 700,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 5,000 บาท คำนวณจนผู้ตายอายุ 60 ปี เป็นเงิน 2,280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 1,071,000 บาท รวมที่ จำเลยทั้งหมดต้องชดใช้เป็นเงินทั้งสิ้น 4,131,000 บาทคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องคดีแบบอนาถา ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ 120/2568 นัดไต่สวนขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลวันที่ 28 ม.ค.68 เวลา 09.00 น. และนัดชี้สองสถานวันที่ 24 มี.ค.68 เวลา 09.00 น.นายนิติธร แก้วโต หรือทนายเจมส์ กล่าวว่า หลังศาลทหารมีคำพิพากษาในปี 2567 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหมดและปรับโดยไม่รอลงอาญา วันนี้มายื่นฟ้องค่าเสียหายทางแพ่ง เนื่องจากศาลทหาร ไม่สามารถฟ้องแพ่งเข้าไปพร้อมกันได้ ต้องแยกฟ้องกับศาลแพ่ง โดยเพิ่มการฟ้องกระทรวงกลาโหมและ กองทัพบกต้นสังกัดของจำเลยที่ 3-13 ที่ผ่านมามารดาผู้เสียชีวิตต้องอยู่อาศัยเพียงลำพังและขาดรายได้ ก่อนมายื่นเรื่องให้คณะอนุกรรมการคดีสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ยื่นฟ้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งให้กับครอบครัวอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่