จากฝันเล็กๆของคนเป็นแม่ ที่อยากให้ลูกโตขึ้นมาในระบบการศึกษาที่ดี ในที่สุด “ผึ้ง–ศุภมาส อิศรภักดี” ก็สมหวังได้นั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนจากรั้วจุฬาฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มาช่วยพัฒนาประเทศ พัฒนาการศึกษา และพัฒนาคน โดยเฉพาะเยาวชนไทย ต้องมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม และสร้างอนาคตของตัวเองอย่างมีความหวัง“ดีใจที่ได้มีโอกาสมาทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ เยาวชน และการพัฒนาคน ผึ้งมีลูกเล็กอายุ 5 ขวบ (น้องเทพ) และอายุ 9 เดือน (น้องบัว) อยากให้ลูกโตขึ้นมาในระบบการศึกษาที่ดี การที่ผึ้งเข้ามารับงานของกระทรวง อว. ไม่อยากให้มองว่ามาในฐานะรัฐมนตรี เพราะเข้ามาทำงานพร้อมสวมหมวกใบสำคัญที่สุดในชีวิตตัวเอง นั่นคือหมวกของการเป็นแม่ รัฐมนตรีสี่ปีก็ต้องถอดหมวกใบนี้แล้ว แต่ความเป็นแม่สวมติดตัวไปตลอดชีวิต ในฐานะแม่ก็ไม่ได้อยากส่งลูกไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก อยากให้ลูกได้อยู่กับระบบการศึกษาที่ดีในบ้านเรา อยากให้เยาวชนทุกคนกล้าที่จะมีความฝันกับสิ่งที่เขาสนใจ สร้างอนาคตของตัวเองได้ จบแล้วมีการงานที่ดีอย่างที่อยากทำ และงานนั้นสามารถสร้างรายได้ ที่ดี ได้มีชีวิตที่มีความสุข อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในประเทศที่มีความมั่นคงมีศักดิ์ศรี ถ้าเป็นไปได้อยากให้ประเทศไทยเป็นฮับทางการศึกษา ให้เยาวชนประเทศอื่นเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศไทยบ้าง ไม่ใช่แค่เราส่งลูกๆของเราข้ามน้ำข้ามทะเลไปอย่างเดียว ผึ้งพร้อมทำงานหนักและไม่ท้อถอย เพราะงานที่ทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อวางรากฐานให้ลูกหลานของเราในอนาคต วันที่เข้าถวายสัตย์ฯ กลับบ้านไปกอดลูกสาวคนเล็ก หอมแก้มแล้วสัญญากับลูกว่าน้องบัวต้องโตขึ้นมาในระบบการศึกษาที่ดี” ...รมต.หญิงหนึ่งเดียวจากพรรคภูมิใจไทย บอกถึงความตั้งใจเกินร้อย ทำไมถึงสนใจเรื่องการศึกษาและการวิจัยผึ้งเชื่อว่าการศึกษาคือรากฐานที่สร้างคนได้อย่างยั่งยืน อยากใช้ความรู้และประสบการณ์การทำงานการเมืองมาช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศกับลูก ผึ้งจะถามตัวเองว่า ทำไมประเทศเจริญๆ ถึงได้มีศูนย์การเรียนรู้อยู่เต็มไปหมด มีพิพิธภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้ตั้งแต่เด็กถึงวัยผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะสนใจประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ดาราศาสตร์ หรือศิลปะมังงะ ก็มีให้ศึกษาได้หมด บ้านเรายังมีช่องว่างที่จะพัฒนาการศึกษาและการใช้นวัตกรรมมาช่วยได้อีกมาก เราสามารถขยายการศึกษาให้มันอยู่นอกตำรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เป็น “Lifetime Learning” สามารถเรียนรู้ได้ทั้งชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาช่วยให้สามารถเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น การศึกษายุคใหม่ต้องเรียนได้ทุกที่ อาจารย์ก็สามารถครีเอตการเรียนการสอนโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆเพื่อให้เข้าถึงเด็ก ตลาดแรงงานขาดแคลนความรู้ความสามารถด้านไหน เราก็ควรผลักดันและปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้ตอบโจทย์ตรงนั้น อะไรคือภารกิจเร่งด่วนที่ต้องทำทันทีของ รมต.คนใหม่ผึ้งเห็นปัญหาของเยาวชนรุ่นใหม่ พวกเขาใช้ชีวิตโดยตั้งคำถามกับอนาคตของตัวเองด้วยความไม่มั่นใจ ไม่กล้าฝัน เพราะไม่รู้จะไปได้ไกลแค่ไหน มองโรดแม็ปชีวิตตัวเองไม่ออก หลายคนมองไม่เห็นว่าเรียนไปเพื่ออะไร จบไปจะทำงานอะไร จะได้ทำงานอย่างที่คิดไหม เราต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขามีความหวัง และดึงเยาวชนกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม เรื่องเร่งด่วนแรกคือการพัฒนานักศึกษา ให้มหาวิทยาลัยสามารถปรับมาสร้างบัณฑิตในด้านที่ตรงตามความต้องการของประเทศ ตามเทรนด์ของยุคสมัยและธุรกิจที่กำลังบูม ทั้งแบบปริญญาและแบบหลักสูตรระยะสั้นเฉพาะด้านเพื่อให้นักศึกษาจบมาแล้วมีงานทำ สร้างอนาคตของตัวเองได้ รวมทั้งนโยบายธนาคารเครดิต ที่นักศึกษาสามารถสะสมหน่วยกิตได้อย่างอิสระและยืดหยุ่นขึ้น ปัญหาของบัณฑิตจบใหม่ส่วนใหญ่คือเรื่องหนี้การศึกษา เราต้องผลักดันให้มีมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษาให้กับนิสิตนักศึกษา ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างเท่าเทียม โดยส่วนนี้ต้องประสานงานกับ กยศ. และกระทรวงศึกษาธิการ อีกเรื่องเร่งด่วนคือการพัฒนาสถาบันการศึกษา เริ่มตั้งแต่อาจารย์ผู้สอน สนับสนุนให้มีงบประมาณในการทำวิจัยและ หาศาสตร์ใหม่ๆมาสอนนักศึกษา เลิกมองว่ารัฐขัดขวางการนำนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาใช้ เพราะไม่เข้ากรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพราะต่อจากนี้กระทรวงของเราจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งหน่วยงานให้ทุนที่เร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นำผลงานที่ได้มาปรับใช้พัฒนาการเรียนการสอน พัฒนากำลังคนอย่างเต็มที่ และเพื่อให้การวิจัยไม่ได้จบลงแค่รายงานที่วางทิ้งไว้บนหิ้ง เราต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมาแล้วนำไปใช้จริง ให้เกิดความตื่นตัวทั้งในแวดวงวิชาการและประชาชน ให้เห็นว่านวัตกรรมไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เกิดได้จริง ขายได้จริง สร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองและประชาชนได้จริง โดยมีกระทรวง อว. เป็นแบ็กอัปให้การสนับสนุนเต็มกำลัง เช่น จัด “อว. Fair” ให้เป็นเวทีสำคัญในระดับประเทศและนานาชาติ หรือจัดเวทีส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อเยาวชน จุดประกายความสนใจในทุกมหาวิทยาลัย และส่งเสริมปรับปรุงอุทยานวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ รวมทั้งเสริมจุดแข็งด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สุดท้ายอยากให้หน่วยงานต่างๆของ อว. ตลอดจนมหาวิทยาลัยทุกแห่ง และสถาบันวิจัยทุกด้าน ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนโดยตรง และมีกิจกรรมการพัฒนาในระดับพื้นที่ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เมืองไทยจะเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ไหมในช่วงหนึ่งประเทศไทยเติบโตเร็วมาก มี GDP แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในอาเซียน แต่ตอนนี้กลไกทางเศรษฐกิจที่เคยใช้อ่อนแรงลง ในอนาคตหากเราจะเติบโตต่อไปจำเป็นต้องปรับโครงสร้างกลไกทางเศรษฐกิจ ให้เป็นแบบสินค้ามูลค่าสูง และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ “คนและความรู้” ต้องสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะใหม่สำหรับอุตสาหกรรมอนาคต ต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ว้าวในระดับนานาชาติ ตรงนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวง อว.โดยตรง ผึ้งได้หารือแนวทางเพื่อริเริ่มโครงการสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชนให้ไปทิศทางเดียวกัน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศ โดยจะให้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ฯจัดงบประมาณ ทั้งเพื่อโครงสร้างพื้นฐานและเพื่อการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีในด้านสำคัญ ปลดล็อกระเบียบให้รัฐและเอกชนทําวิจัยได้ และเพิ่มกลไกต่อยอดนำเอาผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทางสังคมหรือเชิงพาณิชย์ได้ ตั้งเป้าว่าจะผลักดันให้มีงบวิจัยและนวัตกรรมเกิน 2% ต่อ GDP สนับสนุนให้ภาครัฐลงทุนเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้เอกชนอยากสร้างนวัตกรรมและลงทุนเกี่ยวกับการวิจัยเพิ่มเติม เช่น ให้สามารนำค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมด้านการวิจัยไปลดหย่อนภาษีได้ 300% และดูแลให้มีการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเชื่อมโยงกันตลอดช่วงจนได้มาซึ่งผลผลิต ต้องมีการทํางานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่มการวิจัยไปจนถึงวางแผนด้านการตลาด นอกจากนี้ ยังมีมิติเรื่องกลไกทางเศรษฐกิจที่อยากสนับสนุน คือเทคโนโลยี AI ที่เข้ามามีส่วนทั้งด้านการแพทย์ การเงิน การโฆษณา ศิลปะการออกแบบ การเรียน การสอน การท่องเที่ยว ธุรกิจการให้บริการลูกค้า หรือแอปพลิเคชันในมือถือง่ายๆ อย่าง Chat GPT ก็ช่วยให้เข้าถึงความรู้ใหม่ๆได้มาก นับวัน AI ยิ่งฉลาดขึ้น เราก็ต้องฉลาดตามด้วย แต่ละประเทศทุ่มเทพัฒนาและนำมันมาใช้พัฒนางานด้านต่างๆ ประเทศเราก็ยิ่งต้องพัฒนาเพื่อสู้กับอาเซียน จริงไหมเยาวชนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ขาดโอกาสสนับสนุนเยาวชนไทยเก่งๆทั้งนั้น เราจะเห็นในข่าวเสมอว่าเด็กไทยได้รับรางวัลจากการประกวดต่างๆในระดับโลก แต่เราต้องสร้างโอกาสให้เมล็ดพันธุ์ดีๆเหล่านี้ สามารถมีพื้นที่เติบโตอย่างดีด้วย นวัตกรรมดีๆจำนวนมากสร้างและพัฒนาโดยคนรุ่นใหม่อายุไม่เท่าไหร่เอง ผึ้งได้หารือกับทีมผู้บริหารเพื่อวางแผนให้มหาวิทยาลัยสนับสนุน และบ่มเพาะให้นิสิตนักศึกษาสามารถจะสร้างธุรกิจสตาร์ตอัพได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA และกองทุน TED Fund รวมทั้งให้อุทยานวิทยาศาสตร์ทุกภูมิภาคของกระทรวง อว. ปรับมาเน้นการให้โอกาสนิสิตนักศึกษา เพิ่มเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดงานประกวดนวัตกรรม รวมทั้งประสานงาน อย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเยาวชนไทย ในฐานะคุณแม่ลูกสาม อยากเห็นอนาคตเมืองไทยเป็นอย่างไรครอบครัวเรามีลูกชายคนโตที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ผึ้งเลือกให้ลูกเรียนที่ประเทศไทย จึงอยากให้ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้มาตรฐานระดับโลก เพื่อลูกๆของเราจะได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่โดยอยู่พร้อมหน้าครอบครัว ได้เติบโตไปด้วยกัน พี่ยังได้ใกล้ชิดกับน้อง พ่อแม่ได้ใกล้ชิดกับลูก นอกจากนี้ การมีสังคมในมหาวิทยาลัยที่แน่นแฟ้นก็เป็นส่วนสำคัญในการทำงานในอนาคต ผึ้งอยากเห็นประเทศไทยเป็นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยู่ภาคส่วนไหนของประเทศ ไม่ต้องมีใครหลุดจากระบบความช่วยเหลือของรัฐ ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรและสวัสดิการที่ดีได้อย่างทั่วหน้า เป็นประเทศที่สนับสนุนให้มีคนเก่งๆในทุกด้าน และเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นสามารถต่อจุดเชื่อมเข้าหากัน และสร้างสรรค์การพัฒนาประเทศไปอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการแบ่งแยกกัน.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ