เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทน ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. นำเสนอ ผลงานของประเทศไทยในการนำเอามหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มารับผิดชอบการพัฒนาตำบลในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ใน “การประชุมรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 19 (19th S&T Ministers’ Roundtable, STS Forum)” ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยมี 53 ประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุมปลัด อว.กล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องทบทวนนโยบายในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ โดยสำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้ใช้แนวทางระบบเศรษฐกิจบีซีจี (BCG) ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ซึ่งจะนำเสนอในการประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือน พ.ย.นี้“อว.ได้นำเสนอและแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุม ซึ่งมีรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก 53 ประเทศทั่วโลกเข้าหารือ ว่า มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยจะมีบทบาทโดยตรงในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างมุ่งเป้าโดยใช้บูรณาการองค์ความรู้ของทุกสาขาวิชาและมีข้อมูลของแต่ละพื้นที่โดยละเอียด นำมาทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม โดยรัฐบาลได้มอบให้ อว.ดำเนินโครงการ “มหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ” ซึ่งปัจจุบันเป็นระยะที่ 2 ให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเข้า พัฒนาในพื้นที่ทุกตำบลทั่วประเทศ มุ่งใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจบีซีจี โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และชุมชน ใน 7,435 ตำบล ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดเกี่ยวกับ BCG และต้องพัฒนาทุกพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก และไทยยังเสนอที่จะร่วมมือกับทุกประเทศในการขยายผลของ U2T for BCG นี้อีกด้วย” ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์กล่าวและว่า ทั้งนี้ ในการประชุมเอเปก อว.จะคัดเลือกพื้นที่ในโครงการ U2T for BCG มาจัดแสดงให้กับผู้เข้าร่วมประชุมเอเปก เพื่อให้เห็นความเอาจริงเอาจังของประเทศไทยในเรื่องของ BCG ด้วย.