นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการแก้ไขวิกฤติเด็กเกิดต่ำสุดเพียง 5.4 แสนรายว่า หลายฝ่ายเห็นปัญหาต้องเร่งแก้ไขตั้งแต่วันนี้ โดยมีคณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์ที่มีรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุขเป็นประธาน ซึ่งได้มอบหมายให้ตนมาดูแลเรื่องนี้ ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ต้องทำต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งเรื่องที่ตนจะชงเข้าเป็นนโยบายของพรรค เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในส่วนของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็เข้าใจและตระหนักดี และตนพยายามให้นายกฯ ผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ เบื้องต้นตนได้มอบให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เชิญอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความสุขในการเลี้ยงลูก มาเป็นตัวอย่างการวางแผนครอบครัว ซึ่งจะมีต้นแบบในแต่ละพื้นฐานรายได้ครอบครัว หากรัฐบาลช่วยกันทั้งหมดทุกกระทรวง ก็จะค่อยๆทำให้ฐานความคิดคนเริ่มเปลี่ยน อาจจะอย่างน้อย 5 ปีด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวถึงการแก้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (กฎหมายอุ้มบุญ) กรณีที่มีแนวคิดเป็นให้สาวไทยสามารถรับจ้างตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) ได้ว่า โดยหลักจะมีเกณฑ์กำหนดว่าผู้ที่จะสามารถรับอุ้มบุญได้ตามกฎหมายฉบับปัจจุบัน ไม่ได้ปรับแก้ในส่วนนี้ ยกเว้นกรณีที่จะปรับให้สามารถรับจ้างได้ ทั้งนี้ ข้อกำหนดเบื้องต้นคือเป็นหญิงที่เคยมีลูกมาก่อน แต่ต้องไม่มีลูกเกินกี่คน อายุขั้นต่ำ อายุสูงสุดที่ให้ตั้งครรภ์ได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเป็นข้อเสนอ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดระบบเป็นทางการว่าคนที่จะมาเป็นแม่อุ้มบุญต้องมาขึ้นทะเบียนก่อน และมีรายได้ แทนที่จะไปลักลอบรับจ้างอุ้มบุญผิดกฎหมาย ส่วนสาวโสดตามเกณฑ์เดิม ไม่ได้อนุญาตให้ทำ เพราะการตั้งครรภ์ต้องมีประสบการณ์ในการดูแลการตั้งครรภ์ถึง 9 เดือน“ตามกฎหมายเราให้คนที่รับอุ้มบุญต้องเป็นเครือญาติ แต่ก็มีข้อยกเว้นให้คนที่ไม่มีญาติแต่อยากมีลูกสามารถให้คนอื่นรับอุ้มบุญได้ กรณีนี้ก็เป็นการรับจ้างอุ้มบุญ แต่ไม่ได้พูดว่ารับจ้างเท่านั้น เรากำลังทำให้เรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บนดิน ไม่ถูกกดขี่” นพ.ธเรศกล่าวและว่า นอกจากนี้กฎหมายยังจะมีการแก้ไขเพิ่มอัตราเจ้าพนักงาน และแก้ไขให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำอุ้มบุญในไทย รวมถึงการเปิดให้ฝากไข่ สเปิร์ม ตัวอ่อนได้.