ไทยการ์ดตก-ติดโควิดทะลุ 2 ล้านคนปี 2564 มหันตภัยไวรัสโควิด-19 เล่นงานประเทศไทยจนงอมพระราม จากที่ได้ชื่อว่ามีระบบสาธารณสุขเข้มแข็ง กลายเป็นโดนสอยร่วงมีผู้ติดเชื้อทะลุ 2 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 2 หมื่นราย ตามหลอนคนไทยตั้งแต่ต้นปี เป็นผลสืบจากคลัสเตอร์ตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร เมื่อปีกลาย ทำให้เชื้อระบาดไปหลายจังหวัด และแพร่ต่อในบ่อนและตลาดหลายแห่ง กว่าจะคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ก็ย่างเข้าปลายเดือน ก.พ. เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลเริ่มตีปี๊บรณรงค์ฉีดวัคซีน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ประเดิมฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นคนแรกเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ต่อมาวันที่ 16 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็โชว์ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาหลังจากโล่งอกโล่งใจได้ไม่นาน วันที่ 2 เม.ย.เกิด คลัสเตอร์ผับทองหล่อ จุดเริ่มต้นการระบาดระลอก 3 มีผู้ติดเชื้อกระจายเป็นวงกว้าง แต่รัฐบาลกลับไม่ออกคำสั่งล็อกดาวน์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปล่อยผู้คนเดินทางกลับบ้านและไปเที่ยวฉลอง ทำให้เชื้อร้ายแพร่ไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เกิดคลัสเตอร์นับไม่ถ้วน หลังเทศกาลปีใหม่ไทยยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันแตะหลักพันมาตลอด และไต่ระดับไปถึง 2 หมื่นกว่า เสียชีวิตวันละหลายร้อยคน กว่าจะมีประกาศ เคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ และบังคับให้ สวมแมสก์ ก็ล้อมคอกไม่ทันแล้ว ผู้ป่วยล้นทะลัก ระบบสาธารณสุขแทบจะรับไม่ไหว เกิดวิกฤติเตียงไม่พอ ต้องสร้างโรงพยาบาลสนามมาช่วยแบ่งเบา โดยเฉพาะใน กทม.และปริมณฑล โทร.สายด่วนก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย ผู้ป่วยกระเสือกกระสนเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดเอง บางรายไม่มีรถพยาบาลมารับ รอจนตายคาบ้าน ตายบนถนน เป็นที่น่าสังเวชยิ่งท่ามกลางความสูญเสียและอกสั่นขวัญแขวน ผู้คนเริ่มแย่งชิงวัคซีนและเรียกหาวัคซีนคุณภาพ เกิดกระแสโจมตีรัฐบาลจัดหาวัคซีนไม่เพียงพอ แถมมีประเด็นดราม่าด้อยค่า “วัคซีนจีน” กดดันจนรัฐบาลยอมปรับแนวทางเจรจาหาวัคซีนมาเพิ่ม ได้ “วัคซีนไฟเซอร์” มาเสริม รวมทั้งมีการปรับสูตรฉีดไขว้ ปูพรมฉีดให้ประชาชนได้ตามเป้า แม้ว่าจะมีจำนวนมากที่ฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก็ตาม พิษภัยโควิดไม่เพียงพรากชีวิตคนจำนวนมากทุกสาขาอาชีพ แถมยังทำลายเศรษฐกิจพังครืน รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาทมา เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ทำได้แค่ประคับประคองแถมเงิน 5 แสนล้านบาทก็ไม่เพียงพอ ในที่สุดนายกฯตัดสินใจทิ้งน้ำหนักด้านเศรษฐกิจมากขึ้น คลายล็อกผ่อนมาตรการตามลำดับ จนถึงเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. ทำให้ระบบเศรษฐกิจเริ่มคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ก็โชคไม่ดีเจอ เชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน เริ่มเข้ามาเขย่าขวัญ จนหมอดังออกมาเตือนหลังฉลองปีใหม่แล้วอาจเห็นจุดพีกมีผู้ติดเชื้อรายวันถึง 2 หมื่นคน.แกนนำม็อบโดนคดีไล่หลังหลังจาก “ม็อบราษฎร” จุดติด เรียกร้องให้มีการ แก้ไขรัฐธรรมนูญโละโซ่ตรวนเผด็จการ ให้รัฐบาลลาออก และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้มีอำนาจ หนำซ้ำยังถูก ตามเช็กบิลดำเนินคดีย้อนหลัง โดยวันที่ 9 ก.พ. อัยการยื่นฟ้อง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ในข้อหาหมิ่นสถาบัน และยุยงปลุกปั่น จากเหตุการณ์การชุมนุมวันที่ 19-20 ก.ย.63 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสนามหลวง ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำทั้ง 4 คนต่อมาวันที่ 8 มี.ค. อัยการสั่งฟ้อง นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และยุยงปลุกปั่น จากเหตุการณ์การชุมนุมวันที่ 10-20 ก.ย.63 ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเช่นกัน ส่งผลให้แนวร่วมออกมา ชุมนุมแรงขึ้นและถี่ขึ้น เพื่อกดดันให้ปล่อยตัวแกนนำ และยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องหลักตามเดิม การชุมนุมตลอดปี 64 ไม่เพียงมีเพิ่มรูปแบบหลากหลายขึ้น ทั้งม็อบเฟสต์ แฟลชม็อบ คาร์ม็อบ กลุ่มผู้ชุมนุมยังปะทะกับตำรวจควบคุมฝูงชนบ่อยครั้งในบริเวณสถานที่สำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล บ้านพักนายกฯใน ร.1 ทม.รอ. ทำให้ตำรวจ คฝ.นำตู้คอนเทนเนอร์ รถฉีดแก๊สน้ำตาผสมสี และตั้งแถวสกัดกั้น เกิดการปะทะกันบาดเจ็บแทบทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มี กลุ่มทะลุแก๊ส และกลุ่มโจ๋หัวรุนแรงมาเสริม เกิดจลาจลหลายครั้งบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงในขณะที่แนวร่วมช่วยกดดันอยู่ภายนอก แกนนำที่อยู่ในเรือนจำก็ใช้วิธีอดข้าวประท้วง กระทั่งช่วงกลางปี ศาลอาญาเริ่มทยอยปล่อยตัวแกนนำม็อบ แต่หลังได้อิสรภาพแล้วแกนนำยังคงจัดชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยอย่างดุเดือดหลายเวที เลยถูกดำเนินคดีเช็กบิลอีกโดยไม่ได้รับอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว จุดชนวนข้อเรียกร้องแก้ไขมาตรา 112 อย่างจริงจัง ทั้งยังมีการยื่นจดหมายฟ้องสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติและสถานทูตเยอรมัน กระทั่งวันที่ 10 พ.ย.2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณี นายอานนท์ นำภานายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จัดชุมนุมปราศรัยข้อเรียกร้อง 10 ข้อ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยิ่งทำให้บรรยากาศคุกรุ่นยิ่งขึ้น มีการล่ารายชื่อและจัดชุมนุมเรียกร้องแก้ไข ม.112 ยันถึงท้ายปี.เก็บฉากอาณาจักร “หลงจู๊” นายบ่อนอิทธิพลภาคตะวันออกเริ่มข้ามศักราชปี 2564 ไม่ทันไร บ่อนการพนันเมืองระยองถูกมองเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ พ่นพิษล้างบาง “บิ๊กตำรวจ” ในพื้นที่ทำเลทองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ประเดิมเด้ง พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์ ผบก.ภ.จ.ระยอง ก่อนล้มกระดานกวาดเก้าอี้ตั้งแต่ พล.ต.ท.วีระ จิระวีระ ผบช.ภ.2 ยันผู้การอีกหลายจังหวัด เข้ากรุไปปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. มีจเรตำรวจตั้งคณะกรรมการฟันผิดตำรวจชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวนอีกนับร้อยชีวิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องผลประโยชน์ “เก็บส่วย” บ่อนพนันของ “หลงจู๊ชาย” นายสมชายจุติกิติ์เดชา อายุ 56 ปี ผู้กว้างขวางในวงการธุรกิจสีเทา นำไปสู่ปฏิบัติการกำราบ “หลงจู๊” ทันทีที่กำลังตำรวจกองปราบฯบุกแจ้งข้อหาดำเนินคดี “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามด้วยการขยายผลคดีจ้างวานฆ่าวิน จยย.ปากโป้งอย่างอุกอาจบริเวณหลังโรงเรียนเมืองพัทยา 8 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เหตุเกิดเมื่อเที่ยงวันที่ 28 ก.ค.2563 พร้อมเอาผิดฟอกเงินยึดทรัพย์สินมูลค่าหลายร้อยล้านบาท.หมายจับลาก “ลุงพล” พัวพันการตายของ “หลานชมพู่” คดีค้างคาใจนานปีเศษ ปริศนาการตายของ “น้องชมพู่” ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หนูน้อย วัย 3 ขวบ แห่งหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร พบเป็นศพอยู่บนเขาภูเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2563 ท่ามกลางความสนใจของประชาชน กดดันการทำงานของตำรวจ และส่งให้ นายไชย์พล วิภา ลุงแท้ๆโด่งดังเป็น “พลุแตก” อยู่ในโลกบันเทิง เปลี่ยนชีวิตไม่ต่างซุปตาร์ดาราที่มียูทูบเบอร์คอยติดตามความเคลื่อนไหวให้แฟนคลับรายวัน ทีมสืบสวนเฉพาะกิจของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ลงพื้นที่แกะรอยหาพยานหลักฐานเชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยนานเป็นปี งัดเอาตำราสารพัดวิชานักสืบผสมนิติวิทยาศาสตร์จาก “ดีเอ็นเอ” เส้นผมชิ้นเดียว กระทั่งประสบความสำเร็จขอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ “ลุงพล” ในข้อหาพรากผู้เยาว์ ทอดทิ้งเด็กให้ถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆแก่ศพที่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป.ปรากฏการณ์ “น้องไข่เน่า” เขย่าวงการหนังโป๊แนวใหม่ฮือฮาอยู่ในสังคมออนไลน์ เมื่อ “น้องไข่เน่า” นักศึกษาสาวคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดัง ผลิตคอนเทนต์ สำหรับผู้ใหญ่ผ่านเว็บไซต์ Only Fans มีผู้สมัครสมาชิกติดตามกว่า 2 หมื่นคน เพื่อชมบทรักบนเตียงกับแฟนหนุ่มเรียกเงินเข้ากระเป๋าเป็นรายได้มหาศาล จนถูกตำรวจ บช.สอท.บุกควบคุมตัวพร้อมฝ่ายชายในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางพลี สมุทรปราการ ตามด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง แม้แต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ยังหยิบไปพูดในเวทีสัมมนาผู้นำหน่วยระดับชั้นนายพล ระบุโลกปัจจุบันแบ่งออกเป็นสองฝั่ง “ฝั่งหนึ่งบอกรับไม่ได้ที่ลูกสาวมาทำอาชีพแบบนี้ ขณะที่เด็กอายุ 19 ปี มองเป็นเรื่องปกติ” แม่ทัพตำรวจตั้งคำถามให้คิด ด้าน “น้องไข่เน่า” ออกมาประกาศยืนยันเลิกถ่ายทำฉากพิศวาสโชว์ผ่านจอคอมพิวเตอร์แน่นอนแล้ว แต่กลับโผล่ร่วมขบวน “คณะเจริญ porn” ไปสภาผู้แทนราษฎรยื่นเอกสารเรียกร้องให้ “หนังโป๊” เป็นเรื่องถูกกฎหมาย.“ผู้กำกับโจ้” นายตำรวจไฮโซใจอำมหิตสะเทือนยุทธจักรสีกากีที่สุดแห่งปี เรื่องราวฉาวของ “ผู้กำกับโจ้” พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ นายตำรวจหนุ่ม นรต.รุ่น 57 ที่อยู่ใน “กลุ่มดาวรุ่ง” ต้องจบเห่รวดเร็วก่อนวัย กับพฤติกรรมปรากฏเป็นคลิปวิดีโอกระจายว่อนโลกโซเชียล ซ้อมทรมานผู้ต้องหายาเสพติดเอา “ถุงคลุมหัว” จนขาดอากาศหายใจจากบทนายตำรวจเนื้อหอมขึ้นหม้อ กำลังควงแขนเป็นแฟนกับลูกสาว พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6 ในขณะนั้น พลิกผันเป็นเหตุให้ผู้กำกับไฮโซหนุ่มชีวิตดำดิ่ง นอกจากถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง โดนไล่ออกจากราชการ ยังถูกดำเนินคดีเอาผิดในคดีอาญาหลายข้อหาฉกรรจ์หลบหนีการตามไล่ล่ากดดันไปได้ไม่กี่วันตัดสินใจเข้ามอบตัว คณะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซักไซ้ไล่เลียงเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น พ.ต.อ.ธิติสรรค์เอ่ยปากรับอย่างลูกผู้ชายในความผิดพลาดทำผู้ต้องหาตายคาเซฟเฮาส์ แต่ยืนยันไม่มีการรีดเงินค่าไถ่ตัวนับล้านบาทอย่างที่เป็นข่าวฉาวสะท้อนยุทธจักรสีกากี “ผมยอมรับผิด ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไรจะจำคุกผมตลอดชีวิต ผมขอให้การว่า ผมไม่ได้มีเจตนาฆ่าน้อง เจตนาตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประชาชนไม่ให้ลูกหลานคนนครสวรรค์ติดยา ต้องกราบขอโทษประชาชนทุกคน ผมตั้งใจทำงานจริงๆ แต่พลาดไป กราบขอโทษพ่อแม่ผู้ตาย เพราะไม่มีเจตนา และใจจริงก็ทราบว่า ไม่ได้ตาย เพราะการที่เราไปคลุมหัวเพื่อต้องการเอาข้อมูลยาเสพติด และกราบขอโทษท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและตำรวจทุกคนด้วย” นายตำรวจหนุ่มระบายความในใจครั้งสุดท้ายกลางวงแถลงข่าวก่อนหมดอิสรภาพเฝ้ารอเผชิญชะตากรรมอยู่หลังกำแพงเรือนจำ. จำคุก “เจ้าสัวเปรมชัย” คืนชีวิต “เสือดำ” ไม่ต้องตายฟรีสิ้นสุดการรอคอยนานกว่า 3 ปี หลังศาลจังหวัดทองผาภูมิอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจำคุก นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 2 ปี 14 เดือน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมง พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่า เจ้าสัวคนดังมีความผิดฐานร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ครอบครองและซ่อนเร้นซากสัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย นอกจากให้จำคุก 2 ปี 14 เดือน และต้องชดใช้ค่าเสียหายอีก 2 ล้านบาทย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเรื่องเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 นายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าหน่วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พบผู้บริหารอิตาเลียนไทยกับพวกตั้งแคมป์อยู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ท่ามกลางเมนูเปิบพิสดารกับเครื่องในสัตว์ป่าถูกชำแหละ เช่น ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง และ “ซากเสือดำ” กลายเป็นประเด็นให้เกิดกระแสเรียกร้องความยุติธรรมทวงคืนชีวิตสัตว์ป่าที่สุด “เสือดำ” ก็ไม่ตายฟรี.