เมื่อวันที่ 24 ก.ย. มูลนิธิไทยรัฐ จัดการประชุมสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ครั้งที่ 39 ภายใต้แนวคิด “ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่” ที่โรงแรมเวียงอินทร์ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษ กล่าวชื่นชม นายกำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และมูลนิธิไทยรัฐ มีส่วนช่วยประเทศในการสร้างคน สร้างชาติ ทั้งย้ำด้วยว่าการศึกษาไทยไม่ได้ เลวร้าย แต่ต้องปรับให้ทันโลก พร้อมกันนี้ยังได้แนะนำครูให้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ สร้างแรงจูงใจให้เด็กสนุกกับการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และให้นึกถึงบรรพบุรุษ รวมทั้งให้สอนเด็กให้รู้จักภูมิประเทศ พื้นที่บ้านตนเอง เมื่อเรียนจบจะได้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดจากนั้นเป็นการปาฐกถาพิเศษ โดย รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่” ซึ่ง “ทีมการศึกษา” เห็นว่ามีหลายประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์กับแวดวงการศึกษาชาติ จึงขอนำมาถ่ายทอดต่อสาธารณะ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศชื่นชมมูลนิธิไทยรัฐสร้างคนดี“...ในทางเศรษฐศาสตร์มีสิ่งที่เรียกว่า ผลกระทบภายนอก คือ สิ่งที่เราทำบางอย่างออกไปแล้วกระทบคนอื่นโดยไม่คำนึงถึง ซึ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยด้านลบ เช่น การพ่นควันบุหรี่ หรือควันรถยนต์ ส่วนด้านบวก เช่น การศึกษาที่ มูลนิธิไทยรัฐทำ ซึ่งส่งผลกระทบภายนอกด้านบวก เพราะมูลนิธิที่ทำให้ครู ผู้บริหาร และโรงเรียน เกิดการเรียนการสอนที่ดี สร้างคนดีจำนวนมาก ทำให้คนมีโอกาส เป็นการทำบุญสร้างกุศล เพราะไม่ได้เกิดขึ้นกับคนที่ได้รับการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ไปถึงคนอื่นด้วย โดยผลการสำรวจของธนาคารโลกพบว่า การช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนา ถ้าช่วยเหลือผู้หญิงก่อนจะได้ประโยชน์มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่อแม่มีการศึกษา อ่านออกเขียนได้ ลูกจะเป็นคนที่มีโอกาสได้รับการศึกษาตามไปด้วย เป็นผลกระทบภายนอก เพราะเมื่อแม่มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ ก็สอนให้ลูกอ่านออกเขียนได้ตามไปด้วย ในขณะที่พ่อก็ได้ผลเช่นกัน แต่ได้ผลน้อยกว่าสำหรับมูลนิธิไทยรัฐซึ่งทำงานด้วยความมุ่งมั่น วางแผน สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้แค่บริจาคแล้วหายไปเลย อันนี้มีผลกระทบอย่างมาก ผ่านมา 51 ปี ผมคิดว่ามีนักเรียนเป็นแสนคน เพราะฉะนั้นผลกระทบภายนอกมีแน่นอน และอย่างมากด้วย...โลกเกิดนิวนอร์มอลมานานแล้ว...วิถีชีวิตใหม่หรือนิวนอร์มอล เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ระบาด ประการแรก ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ตัวเลขการส่งออกของไทย ซึ่งขยายตัวปีละ 15-20% ต่อเนื่อง 20 ปี แต่ปัจจุบันนิวนอร์มอลคือ เรา ขยายตัว 5% จนเป็นปกติ ประการที่สองเทคโนโลยีป่วนโลก หรือดิสรัปชัน ซึ่งได้แก่ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ เป็นต้น ประการที่สาม ด้านการศึกษา ซึ่งก็มีนิวนอร์มอล เช่น จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี จากช่วงปี พ.ศ.2506-2512 พบว่าเรามีเด็กเกิดใหม่เกินปีละ 1 ล้านคน โดยปีที่มีเด็กเกิดสูงสุดคือ ปี พ.ศ.2512 คือ 1.2 ล้านคน เมื่อถึงปี พ.ศ.2557 มีเด็กเกิดใหม่ 776,000 คน ปี พ.ศ.2560 เด็กเกิดใหม่ 670,000 คน ปี พ.ศ.2562 เด็กเกิดใหม่ 618,000 คน ขณะที่เรามีคนตายเฉลี่ยปีละ 450,000 คน นอกจากนี้ เทคโนโลยีทำให้เกิดการขยายตัวขององค์ความรู้อย่างรวดเร็ว ความรู้ด้านสังคมศาสตร์ในปัจจุบัน จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 8 ปี ดังนั้น ผู้ที่จบด้านสังคมศาสตร์มีความรู้เต็มเปี่ยม ถ้าไม่ติดตาม หาความรู้ใหม่ อีก 8 ปี ความรู้ที่มีจะเหลือเพียง 1 ใน 4 และลดลงเหลือ 1 ใน 8...โลกป่วน การเรียนรู้เปลี่ยน...ความที่โลกป่วน การเรียนแบบเดิมที่เน้นเนื้อหาจะตามไม่ทัน เพราะไม่สอดคล้องกับโลกและความสนใจของเด็ก กระทรวงศึกษาธิการ จึงพยายามเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนรู้ใหม่ จากเดิมเป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาสาระ เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ เป็นความรู้บวกทัศนคติบวกความสามารถ ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้วสามารถทำงานได้ ซึ่งทราบมาว่า ขณะนี้หลักสูตรเกือบเสร็จแล้วและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำลังเร่งทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ เราจะเห็นว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความสำคัญ ซึ่งข้อดีคือ เป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ข้อเสียคือ ทำให้เกิดความหลงตนเองรักตนเองมากกว่าที่ควรจะเป็น มีปัญหาการทำงานร่วมกับคนอื่น อยู่ในโลกแห่งความฝัน และคิดว่าการได้รับเป็นสิทธิ เช่น เมื่อได้รับทุน ก็จะไม่ค่อยซาบซึ้ง เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีลักษณะ ต้องการความพอใจอย่างทันด่วน อยากได้ต้องได้ทันที มีเส้นทางของตัวเอง...แนะจับตาดูหงส์ดำ-แรดเทา...ผมอยากให้พวกเราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า หงส์ดำ ซึ่งหมายถึง ปรากฏการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อน ในอดีตมนุษย์เคยเห็นแต่หงส์ขาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีหงส์ดำ ดังนั้น การที่ไม่เคยเห็นสิ่งใดมาก่อน ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี เพียงแต่เรายังไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น ดังนั้น ประเทศใหญ่ ธนาคารใหญ่ หรือ บริษัทใหญ่ ก็อาจเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้ กรณีโรคโควิด-19 ก็ถือว่าเป็น หงส์ดำ อย่างหนึ่ง ต่อมาคือ แรดเทา ซึ่งก็คือ แรดขาว แต่ถูกโคลนพอกให้เราเห็นเป็นสีเทา ดังนั้น แรดขาว คือ ปรากฏการณ์ที่เป็นสัญญาณเตือนบอกเราว่า จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่แฝงมาในรูปของแรดเทา ทำให้เรามองเห็นไม่ชัด ซึ่งลักษณะของแรดที่หนักเป็นตัน แต่สามารถวิ่งเข้าชนรถด้วยความเร็ว 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้รถทั้งคันพัง ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก แม้แต่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยังบอกว่า เราควรเฝ้าดูแรดเทาและหงส์ดำให้ดี มันอาจจะเป็นเชื้อโรคระบาด ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การล้มของธนาคารหรือบริษัทใหญ่ๆ หรือการค้นพบบางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน เป็นต้น... เตือนระวังสัญญาณจากเด็ก...สำหรับโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ในโลกที่มันผันผวนมากๆ ผมคิดว่าผู้อำนวยการโรงเรียนควรต้องเฝ้าดูแรดสีเทา ซึ่งเป็นสัญญาณบางอย่างที่มันออกมาไม่ดี แต่เราคิดว่ามันไม่มีอะไร ตัวอย่างของแรดเทา เช่น เด็กที่มาโรงเรียนของเรา ทำไมมีขี้มูกมากผิดปกติ 4-5 คน เป็นสัญญาณแล้ว แสดงว่าจะเกิดการระบาดของโรคในกลุ่มโรงเรียนของเรา หรือเด็กในโรงเรียนของเราทำไมเกิดน้อยลงผิดสังเกต ถ้าเราปล่อยไว้ ไม่ชี้แจงกับชาวบ้าน จะไม่มีเด็กมาเรียน ร.ร.ของเราแน่นอน สัญญาณที่บอกเราว่าจะมีปัญหาอีกตัวก็คือ ที่เราเห็นเด็กออกมาเคลื่อนไหว ถ้าเรามองในแง่ที่ไม่ใช่การเมือง เราต้องยอมรับว่า เด็กปัจจุบัน นี้ อยู่ภายใต้แรงกดดันที่สูง ประการแรกคือ เรียนเยอะมาก ประการที่สอง ต้องยอมรับว่าเพื่อนในห้องเรียนมีโอกาสข่มขู่นักเรียนได้สูง ประการที่สาม ครูบางคน บางโรงเรียน มีลักษณะข่มขู่นักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ด้วยกาย วาจา เพราะฉะนั้น เด็กอยู่ในสภาพที่อึดอัด สำหรับเด็กวัยรุ่นที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ในขณะที่พ้นห้องเรียนไป พ่อแม่ให้เสรีภาพมากกว่านั้น ติดต่อถึงเพื่อนจะไปไหนไปได้หมด แต่พอมาโรงเรียนแล้วต้องแปลงร่างเป็นอีกคนหนึ่ง ความอึดอัดตรงนี้จึงระเบิดออกมา และบอกว่าเขาไม่พอใจ...วอนสังคมเห็นใจเด็กอึดอัดมาก...จากการสำรวจของทีดีอาร์ไอ หลังจากที่ไทยลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งห้ามตีเด็กนักเรียน ห้ามไล่ออก มาเกือบ 10 ปี ทีดีอาร์ไอสำรวจนักเรียนพบว่า 50% ของเด็กที่สำรวจ ยังถูกตี ซึ่งเห็นได้ชัดว่า แม้จะมีอนุสัญญาที่เราลงนามและต้องทำตาม แต่ความเป็นจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง การตีเด็กคือการข่มขู่ ไม่ใช่การข่มขู่เฉพาะคนถูกตีเท่านั้น เป็นการข่มขู่คนอื่นๆที่ไม่ได้ถูกตีด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นปรากฏการณ์ของเด็กที่ออกมา ผมคิดว่าขอได้โปรดเห็นใจเขาบ้าง ขณะนี้น่าเป็นห่วงมากว่า เกิดความเครียดระหว่างครูกับนักเรียน โดยเฉพาะระดับมัธยม เพราะว่าครูก็มองเด็กว่าทำไมต้องแบบนี้ด้วย พูดกันไม่รู้เรื่อง เด็กก็บอกว่า ครูไม่เคยฟังเลย......เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับความจริงว่า ครูของเราส่วนหนึ่งมีปัญหา และที่สำคัญปัญหาส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเราขณะนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปดูก็เกิดขึ้นตอนที่เรามีเด็กเกินกว่า 1 ล้านคน เราก็เร่งรับคนเข้ามาเป็นครูอย่างมาก โรงเรียนก็ขยายตัวอย่างมาก การกลั่นกรองครูเมื่อสมัย 30 ปีก่อน ไม่ได้ทำอย่างเข้มข้น เพราะฉะนั้นก็มีคนไม่น้อยที่หลุดเข้ามาเป็นครู โดยที่ไม่ได้อยากเป็นครู แต่อยากเป็นข้าราชการ จึงทำให้มีครูจำนวนไม่น้อยที่มีบุคลิกลักษณะ ความรู้หรือว่าทัศนคติ วิญญาณความเป็นครู ด้อยกว่าครูส่วนใหญ่ที่เป็น และตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหา ผมคิดว่าเรื่องครู เรื่องคน เป็นเรื่องที่ปวดหัวที่สุด... 4 ปัจจัยแม่พิมพ์ยุคนิวนอร์มอล...สำหรับครูยุคใหม่ ต้องสู้กับนิวนอร์มอลทั้งในชีวิตส่วนตัวและห้องเรียน โดยครูยุคนิวนอร์มอล จะต้องมี 1.จิตใจที่ไม่ยึดติดกับทฤษฎีหรือรูปแบบหรือหลักคำสอนจนปรับแก้ไขไม่ได้ เพราะโลกของเราเปลี่ยนตลอดเวลา บางอย่างที่เราเรียนไป มันอาจจะผิดก็ได้ ถ้ายึดติดเนื้อหาเดิม จะเป็นปัญหา 2.คล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายและรวดเร็ว 3.ต้องมีทักษะใหม่ Re-Skill เดิมครูสอนในห้องเรียนเป็นออฟไลน์ ก็ต้องพัฒนาทักษะใหม่คือสอนออนไลน์ให้เป็น และต้องสอนได้ดีกว่าการสอนในห้องเรียนด้วย ขณะเดียวกันก็ต้อง พัฒนาทักษะเดิม Up-Skill เช่น มีความรู้ไอทีพื้นฐาน ก็ต้องพัฒนาให้เก่งไอทีมากขึ้นกว่าเดิม...ครูคืออาชีพที่มีความสุขที่สุด4.มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ผมยืนยันได้ว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีความสุขที่สุด ผมเคยอยู่ในวงการศึกษา แล้วไปภาคเอกชน ไปการเมือง แล้วกลับมาวงการศึกษาอีก บอกได้เลยว่า ไม่มีอะไรที่ภาคภูมิใจเท่าความเป็นครู เพราะการที่เราได้เห็นลูกศิษย์จบไปแล้วได้ดี เราจะมีความสุขมาก เห็นลูกศิษย์อยู่ในตำแหน่งต่างๆที่มีบทบาทต่อชาติมาก ช่วยเหลือประเทศชาติได้ เรามีโอกาสเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้ได้ ก็รู้สึกว่า มีความสุขมากเลย เงินก็ซื้อไม่ได้นะครับ เพราะคนมีเงินก็ซื้อสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าจิตวิญญาณความเป็นครู ทำให้เราอยากเป็นครู อยากให้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น...ผมขอฝากไว้ว่า โลกเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าเรายังเหมือนเดิม เราก็จะมีประโยชน์น้อยลง ทางเดียวที่เราจะได้คือ เราต้องยอมรับว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามสิ่งแวดล้อม ไม่เช่นนั้นเราจะไร้ประโยชน์”.