คำถามที่ได้รับเยอะมาก “กลัวเป็นสมองเสื่อม เราจะเป็นไหม มีคุณยาย คุณทวดเป็น” และอาการเริ่มจากอะไร ลูกหมอดื้อท่าทางจะกลัวมากเช่นกัน เลยค้นคว้าและเรียบเรียงจากบทความ “Relative risk for Alzheimer disease based on complete family history” ลงในวารสาร Neurology ปี 2019 มาเล่าให้ฟังทำไมถึงกลัวกันนัก น่าจะมีหลายสาเหตุ เริ่มจากมันเป็นโรคที่ไม่มีวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ พอเป็นแล้วก็จะแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาชะลอการเกิดสมองฝ่อได้ และบั้นปลายของโรคนั้น ความจำ ทั้งหมดจะหายไปไม่ว่าจะเป็นความจำเก่าๆ หรือความจำใหม่ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้นานความสามารถในการพูดไม่เหลือ อารมณ์ฉุนเฉียว สุดท้ายแม้จะใส่เสื้อผ้าก็ทำเองไม่ได้ จนเสียชีวิตประมาณ 10 ปีหลังจากเริ่มเกิด ซึ่งเป็นบั้นปลายชีวิตที่ไม่สวยงามเท่าไหร่ ถ้ามียีนในครอบครัวซึ่งเป็นยีนเด่น (autosomal dominant) ชื่อว่าอมีลอยด์พรีเคอเซอร์ (amyloid precursor protein) และ พรีซินิลิน (presenillin 1, 2) จะมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 แต่ส่วนมากจะประมาณ 50 ปี (early onset แปลว่าก่อน 65 ปี) ยีนเหล่านี้เป็นรากฐานทฤษฎีการเกิดโรค โดยมีโปรตีนอมีลอยด์เป็นตัวตั้ง จากนั้นร่างกายจะมีการตัดให้กลายเป็นชิ้นเล็กเพื่อจะกำจัดจากสมองผลผลิตของการตัดนั้นอย่างหนึ่งคือเปปไทด์ บีต้าอมีลอยด์ (B-Amyloid) ในภาวะปกติก็จะถูกชะล้างจากสมองเวลานอน ปัญหาเกิดเมื่อมีการตัดย่อยโปรตีนโดยพรีซินิลินที่ผิดปกติ หรือความผิดปกติของโปรตีนอมีลอยด์เองทำให้บีต้าอมีลอยด์มีรูปร่างผิดปกติ สมองจึงไม่สามารถกำจัดมันได้ พอมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้การทำงานของสมองมีปัญหา เกิดการอักเสบและเซลล์สมองตาย ที่กล่าวมาเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแต่ความสงสัยในทฤษฎีบีต้าอมีลอยด์นี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลักฐานที่ได้จาก big data ของคณะทำงานอัลไซเมอร์ AD initiatives พบว่าความผิดปกติเริ่มแรกอยู่ที่เส้นเลือด โดยที่ในระยะต่อมาเกี่ยวพันกับการเกิดการอักเสบในร่างกาย ตามด้วยโปรตีนเทา จากนั้นค่อยมาถึงบีต้าอมีลอยด์ ยาที่ค้นคว้าออกมาพยายามกำจัดบีต้าอมีลอยด์ ไม่ได้ทำให้โรคดีขึ้น และก่อนที่จะสรุปเรื่องตัวกำหนดยีน ต้องบอกก่อนว่า ยีนนี้รับผิดชอบจำนวนคนที่เป็น แค่ประมาณ 5% มันอาจจะแปลว่าบีต้าอมีลอยด์เป็นตัวการใน 5% นี้ แต่ต้องมีเหตุผลอื่นมาอธิบายในคนไข้ที่เหลือ ซึ่งมีก็มีคำอธิบายมาจากยีน apolipoprotein E (APOE) จริงแล้ว APOE เป็นโปรตีนที่เกาะกับไขมันผ่าน LDL receptor เพื่อนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานAPOE นี้นอกจาก รับหน้าที่นำพลังงานจากไขมันมาใช้ มันยังมีส่วนในการควบคุมภูมิคุ้มกัน โดยการจับกับ C1q ยับยั้งการกระตุ้นภูมิส่วน complement cascade และลดการอักเสบ ฉะนั้น เมื่อมันผิดปกติหรืออยู่ในแบบ APOE 4 ก็พบว่าเพิ่มความเสี่ยงอัลไซเมอร์ในสูงอายุ (late onset Alzheimer’s)และแทนที่จะควบคุมการทำลายขยะอย่างสะอาด กลับก่อการอักเสบลุกลามไปทั่ว และเชื่อกันว่ารับผิดชอบการเกิดโรคในคนส่วนใหญ่ แต่หลังๆก็มีการโต้แย้งถึงความเสี่ยงในยีนนี้ว่าอาจจะไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงมากนัก แต่แค่เจอมากในคนเป็นอัลไซเมอร์ และเริ่มมีข้อมูลในผู้ป่วยคนไทยว่า ไม่ได้เจอยีนนี้เป็นตัวสำคัญแบบในต่างประเทศ ที่กล่าวมานั้นก็เป็นที่มาของการวิจัยความเสี่ยง ถ้ามีคนในครอบครัวเป็น และเมื่อพ่อหรือแม่เป็น โอกาสที่ลูกจะเป็นเมื่ออายุใกล้ๆกัน จะสูงขึ้นเพียงใด แค่ไหน นอกจากพ่อหรือแม่แล้ว ทีมผู้วิจัยชี้ว่าถ้ามีญาติห่างๆเป็น โอกาสที่ตัวเราจะเป็นก็จะสูงขึ้น โดยคณะวิจัยกลับไปวิจัยข้อมูลตั้งแต่ทวดจนมาถึงขณะนี้ ในรัฐยูทาห์ สหรัฐฯ ในคนที่มีข้อมูลทั้งพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และทวดอีกอย่างน้อย 6 ใน 8 คน เป็นจำนวน 270,800 คน ข้อมูลนำมาจากใบมรณบัตรพบว่า 4,436 คนเสียชีวิตโดยมีโรคอัลไซเมอร์อยู่ในใบมรณบัตร นำมาประมวลต่อปรากฏว่า...คนที่มีพ่อ แม่ พี่ หรือน้อง (first degree relatives) คนใดคนหนึ่งเป็น จะมีความเสี่ยงเพิ่มถึง 73% ถ้าเป็นกันสองคนความเสี่ยงเพิ่มเป็น 2.5 เท่า ถ้าเป็น 3 คน ความเสี่ยงเพิ่ม 4 เท่า และสุดท้ายถ้าเป็นกัน 4 คน ปรากฏว่าความเสี่ยงเพิ่มถึง 15 เท่า (21 คนในการศึกษามีพ่อ แม่ พี่ หรือน้อง 4 คนเป็น ใน 21 คนนั้น 6 คนเป็น ซึ่งตามสถิติประชาชนทั่วไปจะมีแค่ 0.4 คนที่เป็น)อย่าเพิ่งกลัวครับ ที่น่าตกใจมากขึ้นไปอีกยังมีอีก นั่นคือ คนที่มีพ่อ แม่ พี่ หรือน้อง (first degree relatives) คนใดคนหนึ่งเป็น และป้า น้า อา (second degree relatives-share 25% gene) คนใดคนหนึ่งเป็นจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 21 เท่า ถ้าไกลกว่านั้นอีก เช่นทวด หรือญาติห่างๆ (third degree relatives-share 12.5% gene) เป็นกัน 3 คนจะมีความเสี่ยงเพิ่มจากคนทั่วไป 43%การศึกษานี้จะตรงขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่ส่วนมาก การศึกษาประเภทที่นำใบมรณบัตรมาดูย้อนหลังจะให้ค่าความเสี่ยงต่ำกว่าปกติ เพราะใบมรณะมักจะมีการเขียนไม่ครบ เช่น เวลาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอาจจะไม่ได้เขียนว่าเป็นอัลไซเมอร์ก็ได้ ถึงยังไงก็เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ก็ยังพอใช้ได้ โดยตัวเลขที่ได้มีความเสี่ยงสูงขึ้นทั้งนี้ ถึงจะมีความพยายามทำความเข้าใจถึงกลไกแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะมาป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ ส่วนการศึกษาในการดูความเสี่ยงส่วนบุคคลนี้สำคัญ โดยเฉพาะสำหรับหมอ เพราะจะถูกถามคำถามประเภทนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และดังนั้นสิ่งที่จะต้องเพิ่มเติมก็คือการซักประวัติครอบครัวให้ลึกกว่าเดิม ถ้าสงสัยโรคสมองเสื่อมปัญหาคือขณะนี้ถ้าถามว่าแล้วจะทำอย่างไรถึงลดความเสี่ยงได้ ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าการดูแลสุขภาพ ลดการอักเสบในร่างกายเป็นส่วนสำคัญ ด้วยการออกกำลังกาย กินอาหารครบห้าหมู่ เพราะร่างกายต้องการไขมันและโปรตีนอย่างสม่ำเสมอ แต่ลดแป้งลงหน่อย ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างมีเหตุผล เพราะกินทีมันก็ไปทำลายแบคทีเรียดีในลำไส้ดื่มสุราไม่มากเกิน เช่นไวน์แดงวันละครึ่งแก้ว (ประมาณ 100-150 ml)ที่แน่ๆดูแล้วคงจะไม่ใช่แค่ยีนอย่างเดียวที่สำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงอัลไซเมอร์ แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรามีผลกระทบแน่นอนครับ และที่ชัวร์ก็คือ ประเทศไทยเราสนับสนุนการใช้สารเคมีพิษฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดสมองเสื่อม ด้วยความเป็นห่วง.หมอดื้อ