ความสำเร็จจากนโยบายในการแก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด ที่ นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผลักดันให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เกษตรกร เอกชน ร่วมกันแก้ปัญหาด้วยหลักการ “ขอความร่วมมือ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐ และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค” มาแต่ปีที่แล้ว ...วันนี้ราคาไข่ไก่กระเตื้องขึ้น เริ่มวิ่งเข้าหาจุดสมดุลระหว่างการผลิตกับการบริโภคหนึ่งในมาตรการร่วมมือสำคัญ...ให้ผู้ประกอบการ 16 ราย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) และเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) ร่วมกันลดจำนวน PS ให้เหลือ 460,000 ตัว และลดจำนวน GP ให้เหลือ 3,800 ตัวเพื่อให้ไทยมีไก่ไข่ยืนกรง 50 ล้านตัว ให้ผลผลิตไข่ไก่วันละ 40 ล้านฟอง อันเป็นระดับที่ผลผลิตไข่ไก่สอดคล้องกับการบริโภค...สำรวจล่าสุดมีนาคม 62 มีไก่ไข่ยืนกรง 46 ล้านตัว“การจัดการปริมาณพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ PS ให้เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาที่ต้นน้ำ ช่วยรักษาเสถียรภาพไข่ไก่อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนไทย”สุเทพ สุวรรณ-รัตน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ ให้คำแนะนำที่น่าสนใจ...เพื่อให้อุตสาหกรรมไก่ไข่ไทยมีเสถียรภาพได้อย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำเข้าพันธุ์ไก่ PS น่าจะรวมตัวกันหันมานำเข้าและเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ GP เอง เพื่อผลิตไก่ PS ใช้เองในประเทศ เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาอนาคตไปผูกไว้กับต่างชาติหากย้อนหลังไปดูประวัติศาสตร์ วิกฤติไข้หวัดนกในสหรัฐฯ เมื่อปี 58 ผู้นำเข้าไก่ PS ของไทยต้องชะลอการนำเข้า ส่งผลกระทบกับปริมาณไข่ไก่ในประเทศ ราคาไข่ขยับจนประชาชนเดือดร้อน นี่คือการแขวนชีวิตไว้กับฝรั่ง แขวนความมั่นคงทางอาหารของคนไทยไว้กับต่างชาติข้อเสนอนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะไทยมีผู้นำเข้า GP ที่สามารถผลิต PS ได้เองอยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวิธีการเลี้ยงแตกต่างจากไก่ทั่วไป แต่เมื่อมองไปที่อุตสาหกรรมไก่เนื้อ ก็จะเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะมีหลายบริษัทได้นำเข้าและเลี้ยงไก่เนื้อปู่ย่าพันธุ์ GP เพื่อผลิตไก่ PS ประสบความสำเร็จมีให้เห็นมากมายวิธีนี้น่าจะเป็นอีกทางออกของการรักษาเสถียรภาพและสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไก่ไข่ไทย...ที่ก่อประโยชน์ทั้งกับผู้ผลิตและผู้บริโภค.สะ-เล-เต