เวลาไปถ่ายรายการสัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ ไม่มีช่างแต่งหน้าทำผม รับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง และยังไม่เคยเจอใครที่แต่งหน้าให้โดนใจ สุดท้ายเราแต่งเองดีที่สุดไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ฉายา แดร็กควีนพันหน้าศิรวิชญ์ กมลวรวุฒิ วงการบล็อกเกอร์บิวตี้ รู้จักในชื่อไจ๋ ซีร่า อายุ 37 ปี บอกว่า ตอนเด็กๆแม่บอกไจ๋ชอบไปยืนหน้าเวทีดูลิเก ในความทรงจำคือเห็นแสงของเพชรแล้วเกิดหลงใหล เหมือนหิ่งห้อยเห็นไฟโตเป็นวัยรุ่นไปดูนางโชว์ก็เหมือนกลับไปจุดนั้นอีก คือสิ่งที่หลงใหลและรักในสิ่งนี้จากนั้นเริ่มเรียนรู้และฝึกฝนเป็นนางโชว์จากเพื่อนๆ จนวิชาเก่งกล้าประมาณหนึ่ง ก็ไปสมัครงานที่ผับแถว อ.ต.ก. ซึ่งยุคนั้นเฟื่องฟูมาก ไจ๋เจอหัวหน้างานที่ต้องการให้นางโชว์เป็นแดร็กควีนทั้งหมดตอนนั้นไจ๋ยังไม่รู้จักคำว่าแดร็กควีน เคยเห็นภาพแบบผ่านๆตาหัวหน้าพยายามบอก แต่ไจ๋ยังไม่เข้าใจ ยังคงใช้ความเป็นนางโชว์ทำมาหากิน แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงแดร็กควีนจริงๆมาถึงจุดหนึ่ง ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ถามว่าทำไมต้องเป็นออสเตรเลีย ไจ๋บอกเคยดูหนังเรื่องดิ แอดเวนเจอร์ ออฟ พริสซิลลา (The Adventures of Priscilla) เป็นเรื่องราวของนางโชว์แดร็กควีนสามคนเดินทางข้ามทะเลทรายจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อทำการแสดง ก็อยากไปสัมผัสว่าเป็นอย่างไรการไปที่นั่น ไจ๋ไม่ได้เตรียมตัวเป็นแดร็กควีน แค่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เต็มไปด้วยเสื้อผ้านางโชว์ ไจ๋ไม่รู้ว่าไปถึงแล้วจะได้มีโอกาสทำตามที่อยากหรือไม่ไปถึงออสเตรเลีย ไจ๋ใช้ชีวิตอย่างนักศึกษาไทยในต่างประเทศ คือหาที่พัก หางานทำ มีความลำบากในช่วงแรก และเป็นจังหวะดวงหรือชะตาชีวิต ไจ๋ได้เข้าร่วมการแข่งขันในผับที่มีชื่อเสียงที่สุดในซิดนีย์ ซึ่งผับนี้ปกติจะมีนางโชว์หรือแดร็กควีนทั้งหมด 4 คน แต่อีกคนต้องไปทำงานที่นิวยอร์ก ก็ต้องหาคนมาแทนเพื่อนชาวไต้หวันเห็นว่าไจ๋มีความสามารถก็ไปลงชื่อสมัคร ไจ๋เข้าประกวดทั้งที่ไม่รู้กติกาอะไรเลยเข้าใจแต่เพียงว่าแข่งสามรอบ จึงเลือกเพลงที่ถนัดที่สุดไว้สามเพลงตอนนั้นไจ๋ก็ยังไม่รู้ซึ้งหรือเข้าถึงคำว่าแดร็กควีนเท่าไหร่ เอาศาสตร์ของความเป็นนางโชว์ที่มีความสวยงาม ละเมียดละไมเข้าไปสู้ ไจ๋บอกอารมณ์ประมาณชาวต่างชาติมาเห็นทิฟฟานี่ อัลคาซ่าร์ ของเมืองไทยรอบแรก ไจ๋ใช้เพลง All That Jazz จากหนังเรื่องชิคาโก ไจ๋ใส่ความตลกขบขันเข้าไปในการแสดง รอบแรกผ่าน ทุกคนตกใจว่าไจ๋คือใครเพราะคนที่มาแข่งส่วนใหญ่เป็นแดร็กควีนมืออาชีพและมือใหม่ในออสเตรเลีย ไม่มีคนไทยหรือคนเอเชียเลยการแข่งขันแต่ละรอบก็จะมีโจทย์แตกต่างกันไป ไจ๋คิดว่าแข่งแค่สามรอบ ปรากฏต้องแข่งถึงเก้ารอบ ก็ต้องทำการบ้านใหม่หมด ซึ่งตอนนั้นไจ๋มีความรับผิดชอบหลายอย่าง ต้องเรียน ต้องทำงาน และต้องไปแข่งขันผ่านมาถึงรอบที่ห้า ไจ๋ยังทำผลงานได้ดี แต่ใจไม่ไปแล้ว รู้สึกเครียด หาทางออกไม่ได้ พอโชว์จบไจ๋ก็เดินลงมาบอกคนไทยที่มาเชียร์ว่า ไม่ไหวแล้ว เหนื่อย อยากเลิก เพราะไม่รู้ว่าแข่งไปแล้วจะชนะหรือเปล่าสุดท้ายพี่คนนั้นบอกว่า อยากให้แข่งต่อ เพราะการที่ไจ๋มายืนตรงจุดนี้ได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คนออสเตรเลียมองคนไทยหรือคนเอเชียในมุมมองใหม่ว่าพวกเรามีความสามารถพี่บอกว่า แล้วจะมาเชียร์ทุกอาทิตย์คำพูดนี้ทำให้ไจ๋มีแรงสู้ต่อ ฝ่าฟันจนถึงรอบชิง และสุดท้ายได้ชนะเลิศ ได้เข้าทำงานในผับแห่งนั้นระหว่างที่เข้าแข่งขัน ไจ๋ก็ครูพักลักจำสังเกตว่าแดร็กควีนมีความแตกต่างกับนางโชว์ที่เคยเรียนรู้ แดร็กควีนมีความแตกต่างในเรื่องรูปแบบการนำเสนอ ทำให้ไจ๋ได้เรียนรู้ทั้งสองทางไจ๋บอกว่า ที่ซิดนีย์มีการให้รางวัลคนทำงานในวงการนี้ อารมณ์เหมือนเมขลา ตุ๊กตาทอง และไจ๋ได้เข้าชิงรางวัลไรซิ่งสตาร์ของดิว่าอวอร์ดส์ แต่ปีนั้นไจ๋ยุ่งเรื่องเรียนและทำงานเลยพลาดรางวัล เข้าปีที่สามไจ๋ถูกเสนอชื่อเข้าชิงโชว์เกิร์ลส์ ช้อยส์ ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่กว่าในงานวันนั้นไจ๋ต้องทำการแสดงใส่ชุดเต้น หลังแสดงเสร็จไจ๋อยู่หลังเวทีไม่รู้ว่าตัวเองได้รางวัล ก็ไม่ได้เตรียมชุดราตรีหรือเตรียมคำพูดมา บังเอิญมีแดร็กควีนฝรั่งแนะนำว่าไม่ต้องคิดเยอะ ให้พูดตามความรู้สึกพอประกาศรางวัล ไจ๋ขึ้นไปทั้งชุดเต้นกล่าวขอบคุณสำหรับรางวัล แล้วบอกว่าตอนนี้กำลังจะจบปริญญาโท ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองในชีวิตด้านการศึกษา แต่ถ้วยรางวัลอันนี้เปรียบเสมือนปริญญาอีกใบด้านการใช้ชีวิตและการทำงานทุกคนในฮอลล์ลุกขึ้นปรบมือไจ๋บอกว่า นั่นเป็นความทรงจำที่คนไทยหรือคนเอเชียจะได้สัมผัส ไจ๋คิดว่ามาถึงจุดที่สุดแล้วของการเป็นนางโชว์หรือแดร็กควีน เราเดินทางมาไกลเกินกว่าที่คาดหลายครั้งที่โชว์ในผับ ไจ๋เจอเอเจนซีอังกฤษ อเมริกา ชวนไปโชว์ และบอกว่าจะมีชื่อเสียงมากกว่านี้ แต่ไจ๋บอกว่าไม่ไป ไจ๋มีความสุขกับสิ่งที่ทำแล้วหลังจากได้รับรางวัลและจบปริญญาโท ไจ๋ลาออกจากงาน เพราะอยากกลับบ้าน ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้เป็นอะไร มันรุนแรงพอสมควร ถ้ามองย้อนกลับไปตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า พอเริ่มรู้สึกไม่ดีก็ต้องรีบเยียวยาตัวเองกลับมาเมืองไทยไจ๋ไปโชว์ประปราย แต่รู้สึกว่าวงการนางโชว์เงียบมาก และช่วงนั้นเป็นเทรนด์โคโยตี้บอยทุกผับต้องมี ไจ๋ผันตัวเองไปทำงานเอเจนซีโฆษณาอยู่สองปีเต็ม ใจเริ่มเรียกร้องให้กลับมาเป็นไจ๋ ซีร่า อีกครั้ง แต่จะกลับมายังไง ทำอะไร ไจ๋บอกไม่มีแผนในหัว แต่ต้องกลับมาก่อนปี 2555 ไจ๋เริ่มเข้าสู่วงการบิวตี้บล็อกเกอร์ ไจ๋มีทักษะในการแปลงโฉมเปลี่ยนหน้าตัวเอง ซึ่งไจ๋ไม่เคยเรียนแต่งหน้า ตอนปริญญาตรี จบนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา ปริญญาโทจบนิเทศศิลป์ ไม่เกี่ยวข้องกับการแต่งหน้าเลยแต่ตอนเป็นนางโชว์ต้องแต่งหน้าทุกวัน แต่งเป็นศิลปินต่างๆ ทั้งมาดอนน่า เจ.โล บริทนีย์ สเปียร์ส แชร์ ฝึกฝีมือได้ทักษะจากตรงนั้น ไจ๋เริ่มแต่งหน้าป้อนวิดีโอทางยูทูบ สิ่งหนึ่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของไจ๋ คือวิกสวยเริ่มมีคนเข้ามาถามเรื่องวิก ประจวบเหมาะเพื่อนที่ได้รางวัลไรซิ่งสตาร์ตอนอยู่ออสเตรเลีย กลับไปตั้งบริษัทวิกที่เยอรมนี ชวนทำธุรกิจด้วยก็เกิดเป็นแบรนด์ซีร่า วิกขึ้นตัวไจ๋เองจับวิกมาเยอะมาก รู้โดยไม่ต้องเช็กว่าวิกอันนี้ทำจากไหมประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จีนงานไจ๋ทุกงานจะมีวิกอยู่บนหัว เวลาใครถาม ไจ๋จะพูดเสมอว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องมี คือความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะสิ่งที่ไจ๋ทำไม่ใช่ร้านขายของ ไม่ใช่ร้านขายวิก มันเป็นแบรนดิ้ง เราใส่สวย คนอื่นใส่ก็ต้องสวยถ้าถามว่าไจ๋ ซีร่า เป็นใคร ทำอะไร ตอบได้ คือแดร็กไอคอน เป็นคนเบิกทางในสายแดร็กควีนเมืองไทย เมื่อก่อนก็มีแต่คนไม่รู้จัก ไจ๋พยายามออกสื่อแล้วเล่าต่อ ทำให้เห็น ใช้ช่องทางทั้งหลายเพื่อส่งข้อมูลให้คนรู้จักมากขึ้น เข้าใจสายงานมากยิ่งขึ้น ไม่เคยสร้างกรอบให้เห็นว่าเราคือต้นแบบถ้าพูดถึงการเป็นแดร็กควีน ก็คือความสนุกที่ลุกขึ้นมาแต่งหน้า แต่งตัว แล้วสร้างอัตลักษณ์ตัวตนขึ้นมาใหม่แค่นั้นเองอย่างไจ๋ ซีร่า ภาพแดร็กควีนคือ เป็นคนสวย เป็นคุณแม่ เป็นสาวเนี้ยบ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมต้องเป๊ะ เป็นสิ่งที่เราสร้างเขาขึ้นมาจากตัวตนลึกๆข้างใน แล้วเอาเขาออกมาเติมแต่งแต้มสีสันเข้าไป ทำให้เกิดเป็นไจ๋ ซีร่าทุกวันนี้แดร็กควีนเมืองไทยเป็นกระแส หลายๆคนทำตามกระแส แต่ตัวไจ๋เองไม่ได้ทำตามกระแส ไจ๋ทำมาเกือบ 20 ปี ก็ยังคงทำอยู่ถามว่าจะเลิกทำแดร็กควีนเมื่อไหร่ ไจ๋ตอบไม่ได้มองถึงตรงนั้นแต่เมื่อไหร่ที่จับพู่กันแปรงแต่งหน้าขึ้นมาแต้มสีบนหน้าไม่ไหว เมื่อนั้นฉันจะหยุด และเช่นกัน ไจ๋ไม่ได้มองว่าจะหยุดแต่งหญิงเมื่อไหร่ ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ว่าฉันไม่สามารถที่จะเลิกขายวิกได้ ตราบใดที่ฉันยังแต่งหญิงอยู่ เพราะฉันมีความสุขกับการทำตรงนี้.