“จากเดิมงานวิจัยของกรมฯ จะเน้นไปในเรื่องปรับปรุงพันธุ์ไม้ให้ได้ผลผลิตเยอะ แต่กว่าจะได้พันธุ์ไม้ใหม่มาส่งต่อให้ชาวบ้านได้นำไปปลูกสร้างรายได้ ต้องใช้เวลาในการวิจัยนานนับสิบปี งานวิจัยทุกวันนี้จึงเปลี่ยนแนวมาเน้นวิจัยพันธุ์พืชที่ให้ผลตอบแทนเร็ว และปีนี้กรมวิชาการเกษตรจะเปิดตัวขมิ้นชันพันธุ์ใหม่ ที่ให้สารสำคัญในการนำไปทำยารักษาโรคสูงกว่า พันธุ์ที่เกษตรกรทั่วไปปลูกกัน”นายอุทัย นพคุณวงศ์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยถึงผลงานวิจัยสำคัญของกรมฯ ที่จะนำมาเปิดตัวใน “งานเปิดบ้านงานวิจัย” ที่จะจัดขึ้นที่ กรมวิชาการเกษตร บางเขน ระหว่าง 25-28 พ.ค.นี้....มีการนำพันธุ์พืชที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์หลายชนิด พร้อมส่งต่อให้เกษตรกรที่สนใจนำไปปลูกขมิ้นชันพันธุ์ใหม่ หรือพันธุ์ G1 ถือเป็นพืชตัวเด่น ลงทุนไม่มาก ทำเงินได้เร็วผลงานการปรับปรุงพันธุ์ของ ดร.วิชยา ศรีสุข นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย เพื่อต้องการแก้ปัญหาโรคเหี่ยวที่มักจะระบาดเป็นประจำในขมิ้นชัน ส่งผลให้เกษตรกรรายได้เสียหายทั้งหมด และยังเกิดปัญหาเชื้อตกค้างในดินนาน 3 ปี...ทั้งที่ตลาดมีความต้องการขมิ้นชันเพิ่มมากขึ้นทุกปี เพราะอุตสาหกรรมสมุนไพรและแพทย์ทางเลือกมีความต้องการใช้สูง โดยนำขมิ้นชันพันธุ์ตรัง 1-2 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีคุณสมบัติทนโรคเหี่ยว นำไปปลูกขยายจะได้เหง้าใหญ่ที่สามารถนำไปขยายพันธุ์ได้มาก มาผสมกับพันธุ์ตรัง 82-4 ที่ให้สารสำคัญเคอร์คูมินอยด์และน้ำมันหอมระเหย สูงกว่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขถึงเท่าตัว...จนออกมาเป็นขมิ้นชันพันธุ์ G0 (จีศูนย์ หรือเจเนอเรชันเริ่มต้น)จากนั้นนำไปขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยตั้งชื่อขมิ้นชันรุ่นนี้ว่า...G1พร้อมกันนั้น ดร.วิชยา ยังได้ศึกษาถึงวิธี การปลูกที่ดีที่สุด เพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตสารสำคัญสูงเหมือนที่วิจัยมา และได้เหง้าขนาดใหญ่ มีน้ำหนักดี พบว่า การปลูกในกาบมะพร้าวสับ นอกจากจะช่วยให้ปลอดโรค เก็บเกี่ยวง่าย ใช้เวลาปลูกสั้น และยังได้เหง้าขมิ้นชันที่มีขนาดใหญ่กว่าปลูกในดินปลูกในดิน ใช้เวลา 10 เดือน เก็บเกี่ยวเสี่ยงเหง้าหัก มีแผล ราคาตก ต้นหนึ่งได้เหง้าน้ำหนักไม่เกิน 800 กรัมแต่ถ้าปลูกในกาบมะพร้าว ใช้เวลาแค่ 7 เดือน เก็บง่าย เหง้าเสียหายน้อย ต้นหนึ่งได้เหง้าหนักไม่ต่ำกว่า 900–1,000 กรัม แถมไม่ต้องเปลืองน้ำล้างทำความสะอาดเหง้ามากเหมือนปลูกในดิน.เพ็ญพิชญา เตียว