วากาเมะ สาหร่ายทะเลมีสีน้ำตาลอมสีเขียวขุ่น รสชาติจืดอมหวานเล็กน้อย เนื้อสัมผัสลื่น พบมากในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมักเสิร์ฟอยู่ในซุปมิโซะ สลัด อุด้ง ราเมน ข้าวหน้าต่างๆ หรือทอดกรอบทานคู่กับข้าวสวย ต่อมามีการประยุกต์โดยนำมาทำเป็นเมนูยำ แกงจืด แซนด์วิช พิซซ่า กิมจิสาหร่ายวากาเมะมีโปรตีนสูง มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตต่ำ อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เช่น ไอโอดีน แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม วิตามินซี และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งด้านสุขภาพ ความงาม แม้สาหร่ายวากาเมะจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่หากได้มาจากแหล่งทะเลที่มีโลหะหนักปนเปื้อนอาจทำให้สาหร่ายวากาเมะที่เรานำมาประกอบอาหารมีโลหะหนักปนเปื้อนไปด้วย เช่น ตะกั่วหากได้รับตะกั่วในปริมาณมากจากอาหาร หรือปริมาณน้อยเป็นเวลานานจนเกิดการสะสมในร่างกายจนมีปริมาณสูงจะทำให้เกิดพิษจากตะกั่ว ในผู้ใหญ่ทำให้มีอาการที่ต่างกันไป เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดข้อต่อและกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ชาหรืออ่อนแรงบริเวณขาหรือเท้า โลหิตจาง มีปัญหาด้านความจำ ไม่มีสมาธิ อารมณ์หงุดหงิด ก้าวร้าว ไตทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในเด็กอาจพบอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ขมในปาก และท้องผูก เด็กอาจเผชิญภาวะปัญญาอ่อน การบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาด้านพฤติกรรมไอคิวต่ำได้ ตามกฎหมายไทยกำหนดปริมาณตะกั่วให้พบในอาหารได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมสถาบันอาหาร เก็บตัวอย่างสาหร่ายวากาเมะแห้งจำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ยี่ห้อ ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดปทุมธานี เพื่อนำมาวิเคราะห์ตะกั่วปนเปื้อน ผลปรากฏว่าพบตะกั่วปนเปื้อนใน 4 ตัวอย่าง แต่ปริมาณที่พบยังไม่เกินค่ามาตรฐานของไทย เห็นผลวิเคราะห์อย่างนี้แล้วสบายใจกันได้แม้ว่าการกินสาหร่ายวากาเมะจะมีประโยชน์ แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรกินทุกวัน เพราะอย่าลืมว่าในสาหร่ายวากาเมะมีโซเดียมสูง หากกินมากๆทุกวันก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไตได้. ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัยคลิกอ่านคอลัมน์ “มันมากับอาหาร” เพิ่มเติม