ข่าวดีจากนักวิจัยสวีเดนชี้ว่า ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า มนุษย์อาจมีอายุขัยยืนยาวถึง 120 ปี เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการเรียนรู้จากโควิด-19 นอกจากคุณปู่ 5 แผ่นดินอย่าง “นพ.เฉก ธนะสิริ” จะเป็นต้นแบบของคนสูงวัย ที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและสมดุลในทุกด้าน ตราบถึงวาระสุดท้ายที่ลาโลกไปขณะอายุ 99 ปี รอบตัวเรายังมีผู้สูงวัยอีกมาก ที่มีวินัยในการดูแลสุขภาพ จนสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทุกเพศทุกวัย ที่ปรารถนาจะมีสุขภาพดีและอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ในลานแอโรบิก สวนรถไฟ ที่ก่อตั้งมายาวนานหลายสิบปี ไม่มีใครไม่รู้จัก “ลุงพงษ์–ร้อยตรีพงษ์พันธ์ สารตายน” วัย 97 ปี ไอดอลของการใช้ชีวิตสูงวัยอย่างสง่า ชราอย่างมีคุณภาพ“สมัยหนุ่มผมรับราชการเป็นทหารบก และลาออกมาอยู่การรถไฟฯ จนเกษียณ ผมต้องทำงานเสริมทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูก 4 คน ตั้งแต่เป็นเซลส์ ขายรถยนต์ ไปจนถึงต้มน้ำเต้าหู้ขาย ทุกเย็นหลังเลิกงานผมต้องเตรียมของสำหรับต้มน้ำเต้าหู้ กว่าจะเตรียมเสร็จก็เลยเที่ยงคืน พอตีสี่ต้องตื่นมาขับรถตระเวนส่งน้ำเต้าหู้แช่เย็นตามโรงเรียนทั่วจังหวัดนนทบุรี ประมาณ 15 แห่ง วันหนึ่งทำน้ำเต้าหู้ขาย 1,500-2,000 ถุง บ้านผมอยู่ปากเกร็ด ก็ขับรถส่งน้ำเต้าหู้ทุกเช้าตั้งแต่อายุ 30 จนถึงอายุ 60 ยุคนั้นส่งน้ำเต้าหู้ถุงละ 1 บาท ด้วยความที่ทำงานหนัก ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ้วนลงพุง และชอบเป็นลมอยู่เรื่อย พอเกษียณจากการรถไฟฯลูกๆจึงไม่ให้ทำงานแล้ว และคะยั้นคะยอให้ผมไปออกกำลังกาย ผมตามเมียไปวิ่งตรงที่ว่าการอำเภอปากเกร็ด แรกๆมันหอบมันเหนื่อยไปหมด กว่าจะเอาชนะตัวเองได้ ผมวิ่งทุกวันต่อเนื่องกัน 9 เดือน น้ำหนักลดไป 7 กิโลกรัม ดีใจมาก รู้เลยว่า การออกกำลังกายคือยาวิเศษ ตั้งแต่นั้นมาก็ออกกำลังกายทุกวันไม่เคยขาด” “ตอนหลังผมมาวิ่งที่สวนรถไฟ เห็นเขาเต้นแอโรบิกกัน ก็ลองมาเต้นด้วย ผมชอบสนุกดีครับ เลยเต้นแอโรบิกมา 36 ปีแล้ว ทุกวันนี้ผมขับรถไปไหนมาไหนเองได้ ไปส่งเมียเต้นลีลาศที่ดินแดง แล้วก็มาเต้นแอโรบิก สวนรถไฟ วันไหนไม่ได้เต้นแอโรบิกจะนอนไม่หลับ ถามลุงๆป้าๆที่อยู่ท้ายสนามได้ ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ถึงเวลาต้องแต่งตัวมาเต้นแอโรบิก มันมีความสุขที่ได้ขยับตัว, ได้เหงื่อออก และได้คุยกัน ความฝันของผมคืออยากอายุยืนถึง 100 ปี และต้องอายุยืนอย่างมีคุณภาพ ไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่นอนติดเตียงเป็นภาระของคนอื่น ทุกวันผมจะโด๊ปไข่ต้ม 2 ฟอง กับน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง และต้องงีบกลางวัน เรื่องดูแลอารมณ์ก็สำคัญ คำว่าความสุขกับอายุยืนเป็นของคู่กัน ผมถือหลักอุเบกขากับทุกเรื่อง คือรู้จักวางเฉย ทำใจให้เป็นกลาง คนเราต้องอารมณ์ดี ไม่โมโหง่าย และอยู่กับธรรมชาติเยอะๆ” พูดถึงไอดอลของลานแอโรบิก สวนจตุจักร ต้องยกให้ อดีตสาวแบงก์และนักวิ่งจากชุมพร “พี่สุภา กิจรื่นภิรมย์สุข” วัย 77 ปี ที่ยังคงกระฉับกระเฉงราวกับสาวๆ“พี่เป็นคนชุมพร โตในสวนมะพร้าว ตั้งแต่เด็กเตี่ยพาเข้าสวนทุกเสาร์อาทิตย์ เดินวันละ 5 กิโลเมตร ตกเย็นต้องช่วยแบกมะพร้าวกลับบ้าน พอปิดเทอมเตี่ยให้ไปถางป่า พี่น้อง 6 คน เตี่ยจะให้มีดคนละด้ามสำหรับถางป่า พี่เรียนที่ชุมพรและไปต่อมัธยมปลายที่สุราษฎร์ธานี จากนั้นกลับมาทำงานแบงก์กรุงไทย ที่ชุมพร โดยอยู่หน้าเคาน์เตอร์ และเป็นแคชเชียร์ ทำงานแบงก์ที่เดียว 29 ปี ตอนทำงานอยู่แบงก์เป็นนักวิ่งของแบงก์ เป็นตัวแทนไปแข่งมาทั่ว ทำให้ต้องวิ่งฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกงาน วันละ 10 กิโลเมตร ทำอย่างนี้มาตั้งแต่สาวๆจนถึงเกษียณอายุ 60 ปี ย้ายตามลูกชายทั้ง 3 คน มาอยู่กรุงเทพฯ”“เราเป็นคนกระฉับกระเฉงอยู่นิ่งๆไม่เป็น ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้ “ห้างเทสโก้ โลตัส ลาดพร้าว” เลยไปลองเต้นแอโรบิก แล้วก็เออสนุกดี มันเพลินดี พอรู้ว่าสวนจตุจักรก็มีเต้นแอโรบิกทุกเย็น เลยไปลองเต้นดู แหมติดใจมาก เต้นแอโรบิกในสวนสาธารณะมันได้อากาศสดชื่น แถมได้เจอเพื่อนๆหลากหลายวัย มันเป็นความสุขของคนวัยนี้ เหมือนกับว่าได้ไปลั้ลลา และปลดปล่อยตัวเอง จนถึงทุกวันนี้พี่วิ่งสลับกับเต้นแอโรบิกทุกวัน การออกกำลังกายต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ลูกๆของพี่ชอบออกกำลังกายเหมือนแม่ พอมีครอบครัวก็พาลูกๆมาออกกำลังกาย”ถามว่าตั้งใจอยู่ถึง 100 ปีเลยไหม “พี่สุภา” ยิ้มหวานว่า “ไม่คิดถึงตรงนั้นเลย คิดแค่ว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุขในทุกวัน เป็นคนไม่เครียดไม่คิดมาก, ชอบไปไหนมาไหนตามใจอิสระ และชอบอยู่กับปัจจุบัน พ่อแม่เราเสียชีวิตด้วยมะเร็ง และพี่ทั้ง 4 คนก็เป็นมะเร็ง คิดว่าเราคงไม่พลาด จึงขอใช้ชีวิตให้มีความสุขทุกวัน ปล่อยวางกับทุกอย่าง ทุกวันนี้ขออย่างเดียวให้ได้ลั้ลลาทุกวัน อยากไปไหนก็ไป ไม่เป็นภาระของใคร” ในสวนจตุจักรยังมีนักวิ่งรุ่นใหญ่ที่สร้างแรงบันดาลใจมหาศาลอย่าง “พี่เอ๋–ณัฐธวัช พงษ์เสถียรศักดิ์” อดีตพนักงานแบงก์ กรุงเทพ และตัวแทนประกัน วัย 73 ปี ผู้ยืนกรานว่าไม่มีคำว่าสายสำหรับการวิ่ง เพราะ “พี่เอ๋” ก็กลับมาวิ่งตอนอายุ 65 ปี หลังร้างราไปนานหลายสิบปี โดยสร้างสถิติให้ตัวเองด้วยการวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร มาแล้วถึง 3 ครั้ง“ชีวิตผมถูกฝึกให้เดินมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวยากจน เดินจากบ้านไปตลาด เดินไปโรงเรียนทุกวัน ถ้าระยะทาง 2 กิโลเมตร ผมเดินได้สบายๆ แต่เพิ่งจะมาวิ่งตอนอายุ 30 ปี เพราะแพ้ละอองเกสรจากหญ้าและต้นไม้ ทางเข้าหมู่บ้านต้องเดินผ่านดงหญ้าก็จะจามทั้งวัน ตอนนั้นทำงานอยู่แบงก์กรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เลยชวนรุ่นน้องไปวิ่งที่สวนลุม ปรากฏว่าวิ่งทุกวัน วันละ 5 กิโลเมตร จนภูมิแพ้หาย ทำให้รู้ว่า การวิ่งดีต่อสุขภาพ แถมประหยัดด้วย ลงทุนซื้อรองเท้าคู่เดียว ผมเลิกวิ่งตอนแต่งงานมีลูก และย้ายที่ทำงาน เพราะมีภาระเพิ่มขึ้น ไม่ได้ออกกำลังกายเลย” “ผมกลับมาวิ่งหลังเกษียณอายุ 65 ปี วิ่งที่สวนจตุจักร เพราะรู้สึกว่าเดินขึ้นบันไดข้ามถนน ทำไมมันเหนื่อยจัง วันแรกวิ่งได้กิโลเดียว แต่เราไม่ยอมแพ้ อาศัยใจสู้ก็วิ่งมันทุกวัน จนหลังโควิดเริ่มวิ่งจริงจังขึ้น ค่อยๆเพิ่มเป็น 2 รอบ และ 3 รอบ จนถึง 4 รอบ ก็ยังได้อยู่ เคยพีกสุดวิ่งได้ 5 รอบ คือ 15 กิโลเมตร ผมมาวิ่งของผมคนเดียวเป็นปี น้องๆกลุ่ม JJ RUNNING คงเห็นว่าตาคนนี้อายุเยอะแล้ว แต่วิ่งเร็วนะ เค้าเลยชวนมาเข้ากลุ่ม และเชียร์ให้ไปพิสูจน์ฝีเท้า ผมวิ่งงานแรกที่บุรีรัมย์มาราธอน เมื่อปี 2566 สมัครลงฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตร ทำเวลาได้ 1 ชั่วโมง 59 นาที สถิติอยู่ใน 10% แรกของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ความสุขมันอยู่ตรงที่เราได้วิ่งจบตามเป้าหมาย เราจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเลย ร่างกายจะผ่อนคลายทุกอย่าง ยอมรับว่าติดการวิ่ง ทุกเย็นผมต้องมาวิ่ง ถ้าผมวิ่งแล้วผมจะไม่เดินและไม่หยุดพัก จะวิ่งช้าวิ่งเร็วแต่ไม่รู้แหละเราจะวิ่งของเราไป” “พอสำเร็จฮาล์ฟมาราธอน เป้าหมายต่อไปคือต้องไปวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร ก็ไปมาแล้ว 3 ครั้ง ที่บางแสน, เชียงใหม่ และจอมบึง ตั้งใจว่าจะวิ่งมาราธอนอีกเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีแรงวิ่ง มันเป็นแพชชันที่ทำให้เราไม่แก่ วิ่งมาราธอนมันจะไปทรมานหลังผ่านกิโลที่ 30 วัดใจกันจริงๆว่าคุณจะไปต่อได้ไหม ผมทำสถิติดีขึ้นเรื่อยๆ จาก 4 ชั่วโมง 34 นาที เหลือ 4 ชั่วโมง 9 นาที มีคนอายุ 87 ปี วิ่งมาราธอนมาแล้วกว่า 300 มาราธอน เขาก็ยังวิ่งต่อไม่เลิก เราต้องเอาอย่างเขาให้ได้ อย่าให้อายุเป็นอุปสรรค การวิ่งไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเราเอง ไม่มีคำว่าแก่เกินไปสำหรับการวิ่ง อยู่ที่คุณจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ การวิ่งเนี่ยมันยากตอนแรก ยากตรงใจเราคิด ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเราคิด ถ้าใจเราอยากจะวิ่ง เราจะวิ่งได้ แต่ถ้าใจไม่เอาและมีข้ออ้าง คุณก็จะไม่เอาอะไรเลย เคล็ดลับการวิ่งอยู่ที่ใจอย่างเดียว ไม่ต้องเรียนรู้เทคนิคอะไร ผมวิ่งทุกวันเพราะไม่อยากแก่ไม่อยากเป็นภาระของใคร อยากดูแลตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง โชคดีที่ผมไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร อาชีพตัวแทนประกันสอนผมว่า ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้ ถ้าคุณคิดลบคือมันจะลบไปเลย ฉะนั้นทุกอย่างถ้าเราคิดว่าเราอยากจะทำ เราต้องทำเลย เพราะถ้าเราไม่ทำ ก็เท่ากับเราแพ้ตั้งแต่แรก ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่อยากทำเถอะ อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำ ผลของมันคือชนะ โดยเฉพาะการชนะใจตัวเอง” อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญของคนรักสุขภาพยังรวมถึง “พี่โต–เทอดธรรม เพียรพิจารณ์” ที่ปรึกษากฎหมายมือทอง วัย 65 ปี...“ผมโตมาในครอบครัวนักกีฬา คุณพ่อเป็นนักกีฬารักบี้ของคณะวิศวะ จุฬาฯ ผมเลยชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็กๆ ทำมาหมดทั้งตีปิงปอง, ว่ายน้ำ, ยิมนาสติก, เตะฟุตบอล, ยิงปืน และเล่นเทนนิสให้ทีมมหาวิทยาลัย คุณพ่อสอนเสมอว่า ชีวิตคนเราควรจะต้องมีความสามารถรอบด้าน นอกจากเรียนหนังสือให้เก่งแล้ว ก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้” กระนั้น พี่โตห่างหายจากการออกกำลังกายพักใหญ่ และต้องกลับมาฟิตเพื่อพิชิตปัญหาสุขภาพ...“ผมทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาออกกำลังกาย คอนโทรลเวลาตัวเองไม่ค่อยได้ อันนี้เป็นจุดอ่อนของผม บริหารเวลาในชีวิตไม่ค่อยดี สมัยก่อนดื่มเหล้าด้วย เพราะต้องไปเจอลูกค้าตลอด กระทั่งอายุ 40 กว่าไปตรวจร่างกายประจำปี จากที่เคยฟิตคราวนี้คุณหมอบอกว่าบุญเก่าคุณหมดแล้ว ผลตรวจออกมาเกินค่ามาตรฐานทุกตัว ตอนนั้นออฟฟิศอยู่แถวสาทร ผมเลยไปวิ่งที่สวนลุมเกือบทุกวัน ฟิตอย่างนั้นอยู่ปีหนึ่ง กลับไปตรวจสุขภาพใหม่ ปรากฏว่าทุกอย่างออกมาดีหมด ตั้งแต่นั้นมาผมก็รู้ว่าการวิ่งทำให้เราแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยง่ายๆ” “แต่พอเข้าวัยเกษียณอะไรๆที่เคยฟิตก็ดร็อปลง ตรวจร่างกายเจอความดันสูงและไขมันสูงกลับมาหลอกหลอนอีก คุณหมอสั่งยาให้ทาน แต่ผมไม่อยากทานยาตลอดชีวิต จึงกลับมาวิ่งอีกครั้งที่สวนเบญจกิตติ ผมวิ่งเกือบทุกวัน วันละ 10 กิโลเมตร แล้วก็หยุดทานขนมและน้ำตาลทุกอย่าง อีกหนึ่งเดือนกลับไปตรวจใหม่ ปรากฏว่าผลดีขึ้นมาก เหลือทานยาลดความดันแค่วันละครึ่งเม็ด และหลังจากวิ่งได้ 4 เดือน ก็ไม่ต้องทานยาลดความดันอีกเลย ทุกวันนี้ผมวิ่งวันละ 10 กิโลเมตร มากน้อยขึ้นกับสภาพร่างกายในแต่ละวัน มีสลับไปวิ่งอย่างอื่นบ้าง ชอบสุดคือการวิ่งเทรล ผจญภัยไปตามเส้นทางธรรมชาติ และสภาพภูมิอากาศที่คาดเดายาก มันเป็นอะไรที่สนุกและท้าทายดี ผมชอบปั่นจักรยานด้วย ร่วมโปรแกรมปั่นจักรยาน 100 กิโลเมตร ของร้านโปรไบค์เกือบทุกครั้ง ผมเชื่อว่าร่างกายคนเราเป็นเหมือนเครื่องจักรที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เราต้องบริหารมันด้วย เพื่อให้มันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”เป้าหมายมีไว้พุ่งชนของคนสูงวัยยุคใหม่คือ การแก่อย่างสง่างาม และชราอย่างมีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม