นึกไม่ถึงจริงๆครับว่า ข้อเขียนชุดเรียนประวัติศาสตร์อยุธยาว่าด้วย “พระเจดีย์ภูเขาทอง” อยุธยาใน “ซอกแซก” สัปดาห์ที่แล้ว จะได้รับความสนใจจากท่านผู้อ่านอย่างมาก ถึงขนาดมีจดหมายมาร่วมสนุกด้วยถึง 2 ฉบับในยุคที่การเขียนจดหมายเป็นเรื่องล้าสมัยอย่างเช่นทุกวันนี้ ได้รับจดหมาย “คอมเมนต์” ถึง 2 ฉบับเนี่ย จะไม่ให้หัวหน้าทีมซอกแซก “ตื่นเต้น” ได้อย่างไรล่ะครับฉบับแรกบอกว่า อยากอ่านบทกลอนใน “นิราศภูเขาทอง” ของสุนทรภู่ช่วงที่ไปฟัง และชมการเล่นเพลงเรือที่อยุธยา ที่หัวหน้าทีมซอกแซกบอกว่าเขียนไว้ยาวจึงไม่ได้นำมาลงฉบับที่สองถามว่า คุณซูมจำได้ไหม? ว่าใน นิราศภูเขาทอง นั้น สุนทรภู่ท่านนั่งเรือผ่านที่ไหนบ้าง...และอยากรู้ว่าทุกวันนี้ สถานที่นั้นๆยังอยู่หรือไม่ขอตอบสนอง “คำขอ” ของท่านฉบับแรกก่อนครับ ที่อยากอ่าน “กลอน” ในท่อนที่บรมครูสุนทรภู่ท่านพรรณนาถึงการเล่น “เพลงเรือ” ที่อยุธยาดังต่อไปนี้“มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม...ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน...บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่น สำราญ...ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง...บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ...ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง...มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง...เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู...อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก...ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเมื่อยหู...ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเขี้ยวงู...จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน”อ่านไปนึกภาพตามไปก็จะเห็นถึงความสนุกสนานของการเล่นเพลงเรือของชาวอยุธยาในยุคนั้น แม้กรุงจะแตกไปนานแล้ว ก็ยังสืบทอดการเล่นต่อมาที่บริเวณลำนํ้าใกล้ๆพระเจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งก็น่าจะได้แก่ คลองมหานาค ที่เคยเป็นสถานที่เล่นเพลงเรือในยุคก่อนเสียกรุงนั่นเองสำหรับคำถามในจดหมายฉบับที่ 2 ที่ถามว่า “สถานที่” สำคัญ หรือ “ย่าน” ต่างๆ ที่ ท่านสุนทรภู่ บันทึกไว้ ทุกวันนี้ยังอยู่หรือไม่? หัวหน้าทีมซอกแซกก็ลองไปค้นจากกูเกิลบ้าง จากหนังสือเก่าๆบ้าง เท่าที่จะค้นหาได้ ดังนี้สถานที่แห่งแรกอันได้แก่ “วัดราชบุรณะ” ที่สุนทรภู่จำพรรษาอยู่ และเมื่อรับกฐินแล้วก็ลงเรือไปกรุงเก่าทันทีนั้น...ยังอยู่ครับปัจจุบันก็คือ วัดราชบุรณราชวรวิหาร หรือ วัดเลียบ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานพุทธฝั่งกรุงเทพฯนั่นเอง ตามประวัติระบุว่า เป็นวัดเก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโน่นแล้วณ วันที่ท่านสุนทรภู่ลงเรือที่หน้าวัดเพื่อไปกรุงเก่าเมื่อ พ.ศ.2373 นั้น สันนิษฐานว่า ในพระอุโบสถอันงดงามมีจิตรกรรมฝาผนังอันงดงามเช่นกันอยู่หลายชิ้น แต่มาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 110 ปีเศษๆให้หลัง เผอิญบริเวณใกล้ๆวัดมีโรงไฟฟ้าของทางราชการมาตั้งอยู่ด้วย เรียกกันว่า โรงไฟฟ้าวัดเลียบ จึงตกเป็นเป้าโจมตีของฝูงบินพันธมิตร ในคืนหนึ่งปรากฏว่า ลูกระเบิดพลาดตกใส่พระอุโบสถจนของเก่าที่งดงามพังทลายลงสิ้น...ทางการถึงขั้นประกาศยุบวัดในปี 2488 เลยทีเดียวต่อมาผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันปฏิสังขรณ์ให้กลับมาเป็นวัดตามเดิม ตั้งแต่ พ.ศ. 2491 และเจริญรุ่งเรืองสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้สถานที่แห่งที่สอง อันได้แก่ พระบรมมหาราชวังที่สุนทรภู่พรรณาว่า “ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร” นั้นยังคงยืนหยัดอย่างโดดเด่นมาโดยตลอด และอยู่ระหว่างเฉลิมฉลองกรุง 240 ปี ซึ่งก็หมายถึงเฉลิมฉลองพระบรมมหาราชวังด้วย...เป็นพระบรมมหาราชวังที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นเป้าหมายหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมที่จะเดินทางมาเยี่ยมชม และมีการบันทึกไว้ว่า เฉพาะเมื่อปี พ.ศ.2549 ปีเดียว มีผู้เข้าเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังของประเทศไทยถึง 8,995,000 คนสถานที่สำคัญที่ นิราศภูเขาทอง กล่าวถึงถัดมาก็คือ “โรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง” นั่นเอง...อันได้แก่ บริเวณย่านบางยี่ขัน ที่เป็นย่านผลิตสุรามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงวันที่ สุนทรภู่นั่งเรือผ่านย่านบางยี่ขันยังคงเป็นย่านผลิตสุราเรื่อยมา รวมแล้วกว่า 200 ปี จนถึงยุคสมัยรัชกาลที่ 9 และมาปิดตัวเองใน พ.ศ.2538 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว โดยโยกย้ายไปสู่โรงงานใหม่ที่ปทุมธานีในขณะที่อาณาบริเวณโรงเหล้าที่เคยเป็น “เตากลั่นควันโขมง” นั้น ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่อันสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน...กล่าวคือเป็นสวนหย่อมที่สวยงาม ซึ่งมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของในหลวงรัชกาลที่ 8 ประดิษฐานอยู่...และลึกเข้าไปอีกเล็กน้อยก็เป็นสถานที่ตั้งของ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราช ดำริ (สำนักงาน กปร.) รวมทั้ง สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา และ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงมาก ที่ท่านสุนทรภู่คงคาดไม่ถึงอย่างแน่นอนถัดจาก โรงเหล้า ไปแล้ว ก็จะเป็น บางจาก, บางพลู, บางพลัด, บางโพ, บ้านญวน, วัดเขมา, ตลาดแก้ว, ตลาดขวัญ, บางธรณี, เกาะเกร็ด, บ้านใหม่, บ้านเดื่อ, บางหลวง, สามโคก, บ้านงิ้ว, บางลำพู จากนั้นก็ไปทางลัดผ่านทุ่งนาต่างๆ มิได้ไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาแต่อย่างใดตัดภาพออกมาอีกทีก็ไปผ่านจวนเจ้าเมืองกรุงเก่าเสียแล้ว และไปจอดที่วัดหน้าพระเมรุ ดูการละเล่นทางเรือที่ได้ยกตัวอย่างบทกลอนของท่านไว้ในช่วงต้นด้วยเนื้อที่อันจำกัด ทีมงานซอกแซกขอฝากให้ท่านผู้อ่านที่สนใจไปค้นต่อก็แล้วกันครับ ส่วนมากยังอยู่ครับ และก็มีการพัฒนาหรือเจริญงอกงามขึ้นเป็นอันมากอย่างเช่น “วัดเขมา” หรือ “วัดเขมาภิรตาราม” นั้น นอกจากจะยังคงอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า เป็นที่เคารพนับถือของชาวนนทบุรีและใกล้เคียงแล้ว ยังกลายเป็นวัดที่โด่งดังมากวัดหนึ่ง ในปี 2565 เนื่องจากเป็นวัดที่ร่างของ “น้องแตงโม” ดาราสาวที่เสียชีวิตจากการตกสปีดโบ๊ต ได้มาโผล่ขึ้นใกล้ๆวัด ทำให้วัดได้รับการกล่าวขวัญถึงไปพร้อมๆกับข่าวน้องแตงโมอยู่หลายวันสุนทรภู่ได้พรรณนาถึงวัดเขมาไว้หลายบทกลอนทีเดียวว่า เคยตามเสด็จรัชกาลที่ 2 มาตัดหวายลูกนิมิตที่วัดนี้ แสดงว่าเป็นวัดที่โด่งดังมากในอดีต...และก็กลับมาโด่งดังอีกครั้ง 194 ปี ให้หลัง ด้วยเหตุการณ์ของน้องแตงโมดังกล่าวสรุปว่าค้นให้เพียงเท่านี้นะครับ ที่เหลือกรุณาไปค้นกันเองเถอะ เพราะขืนให้ทีมงานซอกแซกค้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะยาวกันใหญ่ไม่จบเรื่อง “กรุงศรีอยุธยา” กันเสียที.“ซูม”