ขณะที่คนไทยรอลุ้นวัคซีนโควิด-19 นำเข้าจากต่างประเทศ หลากหลายยี่ห้อ ที่มีข่าวว่า จะสามารถนำเข้ามาฉีดให้กับคนไทยได้ภายในปีนี้ ถึงต้นปีหน้า แต่ปรากฏว่า วัคซีน ChulaCov19 อ่านว่า จุ-ฬา-คอฟ-ไนน์-ทีน ซึ่งพัฒนาโดย ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็คืบหน้าไปถึงขั้นทดสอบการฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครผู้ผ่านการคัดกรองที่มีสุขภาพดีระยะที่ 1 และต่อเนื่องในระยะที่ 2 เพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันแล้ว เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมาศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ได้ทำการทดลองในลิงและหนู ได้ประสบผลสำเร็จ พบว่า สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิตและทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัครเพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของการทดสอบฉีดวัคซีน ผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ บอกว่า แบ่งการทดสอบเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 แยกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน ในจำนวนสองกลุ่มจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่าวัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม จึงต้องศึกษาว่าคนไทยหรือเอเชียเหมาะกับการฉีด 10, 25 หรือ 50 ไมโครกรัม ที่จะเป็นขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2 ซึ่งน่าจะเริ่มต้นฉีดได้ประมาณเดือน ส.ค.2564 ซึ่งคาดว่าจะใช้อาสาสมัครประมาณ 150-300 คนสำหรับวัคซีน ChulaCov19 คิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย ภายใต้ความร่วมมือสนับสนุนโดยแพทย์นักวิทยา ศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย โดยการ สร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไปจะทำการ สร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) และ กระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ โดยเมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไป โดย ไม่มีการสะสมในร่างกาย แต่อย่างใด ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (Chula VRC) บอกว่า จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยมีวัคซีนโควิด-19 ที่กำลังพัฒนา 2 ตัว ตัวหนึ่งพัฒนาโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA “ChulaCov19” อีกตัวพัฒนาโดยคณะเภสัชศาสตร์ เป็นสตาร์ตอัพที่ได้รับการบ่มเพาะจาก CU Innovation Hub สามารถพัฒนาโปรตีนวัคซีนที่ทำจากใบพืช ซึ่งทั้งสองต่างเป็นเทคโนโลยีที่ดีระดับต้นๆของโลก“ถ้าองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมติว่า เกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit) ถ้าหากวัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้ แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า” คุณหมอเกียรติยังบอกด้วยว่า ขณะนี้กำลังเตรียมความพร้อมพัฒนาทดลองวัคซีนรุ่นที่สองกับสัตว์ทดลองควบคู่กันไปกับรุ่นแรกข้างต้น เพื่อรองรับเชื้อดื้อยาหรือเชื้อกลายพันธุ์ที่ทั่วโลกกำลังวิตกกังวล เช่น สายพันธุ์อังกฤษ (อัลฟา) สายพันธุ์อินเดีย (เดลตา) สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (เบตา) และสายพันธุ์บราซิล ถ้าทุกอย่างเป็นตามแผนคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่ดื้อวัคซีนได้เพื่อทดสอบในอาสาสมัครภายในไตรมาส 4 ของปีนี้สำหรับเทคนิคการผลิตวัคซีนแบบ mRNA เป็นเทคโนโลยีที่มีการศึกษากันทั่วโลกมานานกว่า 20 ปี โดยวัคซีนทั้งของ “ไฟเซอร์” และ “โมเดอร์นา” ก็ใช้เทคนิคนี้ “เราหวังไกลถึงวัคซีนอื่นที่ไม่ใช่วัคซีนโควิด-19 เราจะมีที่ยืนในตลาดโลก อาจจับมือกับบริษัทข้ามชาติ กับไบโอเน็ตที่มีลู่ทางในเอเชีย เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตวัคซีน เราอยากเห็นประเทศไทยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีการแพทย์ เราต้องคิดไปถึงว่า เราจะทดแทน การนำเข้า ให้ไทยมีของดีระดับโลก” ศ.นพ.เกียรติ ทิ้งท้าย.